26.6.51

คุณเคยอ่าน "The Tragedy of the Commons" หรือยัง?

The Tragedy of the Commons(Garrett Hardin 1968) ซึ่งหมายถึง โศกนาฏกรรมของสาธารณสมบัติ

"GARRETT HARDIN ได้เขียนบทความเรื่อง "THE TRAGEDY OF THE COMMONS" ลงนิตยสาร SCIENCE ในปี 1968 ซึ่งไอเดียในบทความได้กลายเป็นสิ่งคลาสสิคที่มีคนรู้จักกันมากที่สุด สิ่งหนึ่งในเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมานักเศรษฐศาสตร์ต่อมาได้เอาหลักวิชามาอธิบายปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "THE TRAGEDY OF THE COMMONS นี้ และต่อเติมไปถึงเรื่องความสำคัญของสิทธิความเป็นเจ้าของ ผมได้เคยเขียนถึงเรื่องนี้ไว้ครั้งหนึ่ง จึงขอนำมาใช้ขยายความเพชรเม็ดนี้ของ GARRETT HARGIN สักเล็กน้อยลองวาดภาพหมู่บ้านเล็กๆ ในสมัยโบราณยุคกลางในยุโรป (ระหว่าง ค.ศ.600-1500) กิจกรรมทางเศรษฐกิจสำคัญอันหนึ่งของชาวบ้านก็คือ การเลี้ยงแกะ หลายครอบครัวมีแกะกันเป็นฝูงๆ เพื่อหารายได้จากการขายขนแกะ ซึ่งจะเอาไปทอเป็นเสื้ออีกทีหนึ่งการเลี้ยงแกะของชาวบ้านก็คือ การปล่อยให้แกะกินหญ้าในบริเวณที่ดินรอบๆ หมู่บ้านที่เรียกกันว่า TOWN COMMON ทุกคนในหมู่บ้านเป็นเจ้าของร่วมกัน และชาวบ้านทุกคนก็มีสิทธิที่จะเอาแกะไปกินหญ้าในที่ดินนี้ได้การเป็นเจ้าของที่ดินร่วมกันก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด หากที่ดินมีอยู่มากมาย ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ตราบที่เจ้าของแกะทุกคนสามารถมีที่ดินเลี้ยงแกะได้ตามใจปรารถนา การเลี้ยงแกะของครอบครัวหนึ่งบนที่ดินแห่งนี้ มิได้แย่งที่ดินที่จะเลี้ยงแกะของอีกคนหนึ่งไป หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ไม่ได้ทำให้คนเลี้ยงแกะคนอื่นถูกกระทบอย่างไรก็ดี

หลายปีผ่านไป ประชากรทั้งของคนและแกะที่มาหากินบน TOWN COMMON แห่งนี้เพิ่มขึ้น คราวนี้ก็เกิดปัญหาที่ดินแห่งนี้เมื่อมีแกะมากินหญ้ามากขึ้นๆ ที่ดินก็ขาดความสมบูรณ์ไป เพราะหญ้าถูกเหยียบย่ำและงอกไม่ทันให้กิน และเมื่อแกะมีมากเข้าทุกที ที่ดินก็แห้งแล้งขาดหญ้า มีแต่ฝุ่นเต็มไปหมด จนไม่สามารถเลี้ยงแกะได้อีกต่อไป ผู้คนก็จะขาดรายได้สำคัญที่เป็นสิ่งเลี้ยงชีพของหมู่บ้านไปในที่สุดอะไรเป็นสาเหตุของโศกนาฏกรรมนี้? เหตุใดเจ้าของแกะจึงยอมให้แกะมีจำนวนมากจนทำลาย TOWN COMMON ในที่สุด? คำตอบก็คือ แรงจูงใจของส่วนบุคคล และของสังคมแตกต่างกัน ถ้าจะหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมนี้ได้ คนเลี้ยงแกะทั้งหมดต้องดำเนินการร่วมกัน โดยลดจำนวนแกะลงจนสอดคล้องกับขนาดของ TOWN COMMON อย่างชนิดที่จะสามารถเลี้ยงแกะได้อย่างยั่งยืน แต่อย่างไรก็ดี ไม่มีครอบครัวที่เลี้ยงแกะใดมีแรงจูงใจที่จะลดจำนวนแกะในฝูงลง เพราะตระหนักดีว่า แกะแต่ละฝูงของตนมีส่วนร่วมเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในการก่อปัญหาเมื่อแต่ละครอบครัวคิดเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่สามารถร่วมกันตัดสินใจ และออกมาตรการร่วมกันมาแก้ไขปัญหาได้ จุดจบของอาชีพขายขนแกะก็เห็นได้ชัดเจน เกิดเป็นโศกนาฏกรรมของการใช้ทรัพยากรร่วมกัน (TRAGEDY OF THE COMMONS) ขึ้น

โดยแท้จริงแล้วในบทความดั้งเดิม HARDIN ได้เสนอว่า วิธีแก้โศกนาฏกรรมของการใช้ทรัพยากรร่วมกันนั้นก็คือ การจูงใจให้ต่างฝ่ายต่างกระทำร่วมกัน โดยมาจากการเห็นพ้องต้องกัน (MUTUAL COERCION MUTUALLY AGREED UPON) ภาครัฐควรกั้นรั้วพื้นที่ COMMONS และผลักไสพวกเลี้ยงสัตว์ออกไปรวมทั้งภาครัฐต้องห้ามสิ่งที่มนุษย์ทำหลายอย่างเพื่อให้สามารถรักษาทรัพยากรไว้ให้คนรุ่นหน้าได้ใช้ในยุคทศวรรษ 1960 ของพวกฮิปปี้ พวกรักธรรมชาติ พวกต่อต้านสงครามเวียดนาม ไอเดียอนุรักษ์เช่นนี้ทำให้เขามีชื่อเสียงขึ้นมาทันที ข้อเขียนได้รับการอ่านและศึกษากันอย่างกว้างขวางมาก นอกจากนี้เขาเสนอให้ภาครัฐควบคุมจำนวนประชากร เพราะการลดจำนวนคนลงไปเท่านั้น ที่จะทำให้ไม่มีดีมานด์มากเกินไป สำหรับทรัพยากรที่ใช้ร่วมกันที่มีจำกัดเมื่อมีชื่อเสียงปรากฏเป็นที่รู้จักกันดี ในช่วงสองทศวรรษต่อมา HARDIN ก็กลายเป็น ACTIVIST สุดขอบ เขาต่อสู้ให้ลดจำนวนประชากร สนับสนุนการทำแท้งเพราะการทำแท้งทำให้เสรีภาพในการเพาะเผ่าพันธุ์ลดลงไป เขาเชื่อว่าหนทางเดียวที่จะรักษาเสรีภาพอื่นๆ อันมีค่าอย่างยิ่งไว้ได้นั้น ต้องมาจากการเสียสละเสรีภาพในการเพาะเผ่าพันธุ์ของแต่ละคน HARDIN เสนอให้สหรัฐอเมริกาถอนตัวจากสหประชาชาติ เพราะองค์กรนี้มีหลักการว่า ขนาดของครอบครัวเป็นเรื่องของการตัดสินใจส่วนตัว อีกทั้งยังต้องการให้เลิกการรับผู้อพยพเข้าสหรัฐอเมริกา เขาชอบใจที่จีนมีการบังคับให้ประชาชนทำหมัน เขาต้องการเห็นการบังคับทำหมันเกิดขึ้นมากๆ ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเขาเชื่ออย่างหนักแน่นว่า หากไม่ลดจำนวนประชากรโลกลงแล้ว ความอดอยาก ภาวะข้าวยากหมากแพง มลพิษ ภาวะรอบข้างอย่างสาหัสจะมาเยือนโลก อย่างไรก็ดี สิ่งที่เขาทำนายไว้เกือบผิดทุกอย่าง นับแต่เขาเขียนบทความนั้นจนถึงปัจจุบัน ประชากรโลกเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว ระดับการศึกษา การอ่านออกเขียนได้ ความอายุยืน เสรีภาพทางการเมือง ฯลฯ เพิ่มขึ้นโดยทั่วไป หลายปัญหายังคุกรุ่นอยู่แต่ไม่เลวร้ายเหมือนที่ HARDIN ได้ทำนายไว้ HARDIN ได้ต่อสู้ให้ผู้คนลดความเป็นวัตถุนิยมลง ประโยคของเขาที่ประทับใจผู้คนก็คือ "THE MAXIMUM IS NOT THE OPTIMUM" (การมีมากสุดไม่ได้หมายถึงการมีในระดับที่สูงอย่างพอเหมาะที่สุด" ซึ่งมาจากคณิตศาสตร์ที่ว่า จุดสูงสุดมิใช่จุดเดียวกับจุดสูงสุดที่อยู่ภายใต้ข้อจำกัด)" และนี่เป็นเพียงบทสรุปคร่าวๆ โดย ตรีพิพัฒน์ บัวบุษบง
Thailand => Common Pool ทรัพย์สินสาธารณะ หากทุกคนจ้วงหาแต่ประโยชน์ใส่ตัวโดยไม่คิดถึงว่าประเทศจะเป็นอย่างไร

ลองหาอ่านหนังสือเล่มนี้ดู แล้วหันกลับมามองประเทศไทยของเรา โศกนาฏกรรมนี้อาจเกิดขึ้นกับบ้านเมืองเราก็ได้ หากทุกคนยังเก็บเกี่ยวแต่ผลประโยชน์ใส่ตัว ทุกคนล้วนแล้วแต่ใช้สิทธิความเป็นอิสระและสิทธิส่วนบุคคลจะทำอะไรก็ได้ตามแต่ใจของตัว ว่าแล้วเมืองไทยก็จะไม่หลงเหลืออะไร

คุณค่าของ "ถั่ว" ชนิดต่างๆ



พวกเราคงจะได้ยินคำแนะนำให้กินถั่วเปลือกแข็ง (nut / นัท) วันละ 1 ฝ่ามือเล็กๆ หรือน้อยกว่า 1 ฝ่ามือหน่อย เพื่อสุขภาพ
วันนี้มีข่าวดีจากหน่วยงานโภชนาการออสเตรเลียคือ ถั่วลิสง (peanut) ก็มีดีพอๆ กับถั่วเปลือกแข็ง (nut / นัท) เหมือนกัน ต่างกันที่ราคาถูกกว่า และหาซื้อได้ง่ายในบ้านเรา

เว็บไซต์ทางด้านโภชนาการออสเตรเลีย (www.nutritionaustralia.org) กล่าวว่า ถั่วลิสงมีคุณค่าทางอาหารใกล้เคียงกับนัท(ถั่วเปลือกแข็ง) เช่น อัลมอนด์ บราซิลนัท เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ฯลฯ

ข้อดีเป็นพิเศษของนัท(ถั่วเปลือกแข็ง) เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และถั่วลิสงได้แก่

มีเส้นใย(ไฟเบอร์) โปรตีน สารพฤกษเคมี(สารคุณค่าพืชผัก) และสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) สูง
มีไขมันชนิดเลว หรือไขมันอิ่มตัวต่ำ

มีไขมันชนิดดีมาก หรือไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (monounsaturated fatty acids / MUFA) สูง ไขมันชนิดนี้ช่วยลดโคเลสเตอรอลชนิดร้าย (LDL) และมีแนวโน้มจะช่วยเพิ่มโคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL)

คุณสมบัติของนัท(ถั่วเปลือกแข็ง) เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และถั่วลิสงปรากฏดังตาราง (ตารางที่ 1) คุณสมบัตินี้จะด้อยลงไปมากถ้านำไปทอด เนื่องจากน้ำมันชนิดดีจะซึมออกมา และน้ำมันที่ใช้ทอดจะซึมเข้าไป
ตารางที่ 1: แสดงปริมาณไขมันในนัท(ถั่วเปลือกแข็ง) เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และถั่วลิสง ไขมันชนิดดีมากหรือ monounsaturated fatty acid / MUFA) และไขมันชนิดเลวหรือไขมันอิ่มตัว

อาหาร: ไขมันทั้งหมด(%)/ ไขมันอิ่มตัว(%)/ ไขมัน MUFA(%)

อัลมอนด์: 52/ 5.20/ 35.36
บราซิล นัทส์: 66/ 17.16/ 23.76
เม็ดมะม่วงหิมพานต์: 46/ 9.20/ 28.52
เฮเซล นัทส์: 63/ 5.04/ 51.66
มาคาดาเมีย นัทส์: 74/ 11.84/ 60.68
ถั่วลิสง: 49/ 7.35/ 24.99
พีแคนส์: (Pecans) 68/ 5.44/ 44.88
ไพน์ นัทส์: 61/ 9.15/ 24.40
พาสทาชิโอ: 48/ 6.24/ 34.56
วอล นัทส์: 62/ 6.20/ 14.88

จากตารางข้างต้น จะเห็นว่า ถั่วเปลือกแข็ง(นัทส์) เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และถั่วลิสงส่วนใหญ่มีไขมันอิ่มตัว ซึ่งเป็นไขมันชนิดไม่ดีต่ำ มีไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (MUFA) หรือไขมันชนิดดีมากสูง

นอกจากนั้นยังมีคุณประโยชน์พิเศษอื่นๆ อีก เช่น
บราซิล นัทส์มีวิตะมินบี 1 และเซเลเนียม(ช่วยป้องกันมะเร็ง)สูง
เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีธาตุเหล็ก(ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง และสังกะสีช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค)

ถั่วลิสงมีวิตะมินบี 2,3 แคลเซียม และวิตะมินอีสูง
พาสทาชิโอส์มีสารพฤกษเคมี หรือสารคุณค่าพืชผัก (plant sterols) ที่ช่วยลดการดูดซึมโคเลสเตอรอลจากอาหารเข้าไปในร่างกาย

ถั่วลิสงมีค่าดัชนีน้ำตาล (glycemic index / GI) ต่ำมากคือ 14 ต่ำกว่าข้าวขาว (70) และข้าวกล้อง (55)

ถั่วลิสงเป็นอาหารที่ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นช้าๆ เหมาะกับการนำไปใช้เสริมการลดความอ้วน เพราะทำให้อิ่มได้นาน

อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูง เช่น น้ำตาลกลูโคส (GI = 100) ฯลฯ ทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นเร็ว-ลงเร็ว ทำให้หิวบ่อย

อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ถั่วลิสง (GI = 14) ฯลฯ ทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นช้า-ลงช้า ทำให้อิ่มนาน

ข้อควรระวังสำหรับการเตรียมถั่วลิสงคือ ต้องเลือกเมล็ดถั่วที่ดี เตรียมแล้วทิ้งไว้ให้เย็น เก็บในภาชนะปิดสนิท เก็บในที่เย็นและแห้ง เช่น ตู้เย็น ฯลฯ และไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 1 เดือน เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อรา ซึ่งอาจมีสารก่อมะเร็ง (อะฟลาทอกซิน) ปนเปื้อนได้

ข้อควรระวังสำหรับถั่วเปลือกแข็ง(นัทส์) เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และถั่วลิสงคือ "น้อยไว้ละดี" ไม่ควรกินเกินครั้งละ 1 ฝ่ามือน้อยๆ (ไม่รวมนิ้วมือ) เคี้ยวช้าๆ เพื่อให้เกิดความรู้สึก "อิ่ม" ถ้าต้องการนำไปใช้ลดความอ้วน... ให้เดินหลังกินถั่วลิสง 10-20 นาทีทุกครั้ง จึงจะได้ผลดี

ถึงตรงนี้ขอให้พวกเรามีความสุขกับการกินถั่วเปลือกแข็ง(นัทส์) เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และถั่วลิสงชนิดที่เตรียมมาอย่างดี และไม่ผ่านการทอดครับ…

ข้อมูลจาก http://gotoknow.org/blog/health2you

มะม่วงหิมพานต์ (cashew nut)


มะม่วงหิมพานต์ (Anacardium occidentale) เป็นไม้ดอกยืนต้น ในวงศ์Anacardiaceae มะม่วงหิมพานต์เป็นพืชพื้นเมืองของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล ซึ่งเรียกเป็นภาษาโปรตุเกสว่า Caju (ผล) หรือ Cajueiro (ต้น) ปัจจุบันเติบโตแพร่หลายทั่วไปในภูมิภาคเขตร้อน เพื่อใช้ประโยชน์จากเมล็ด และผลของมัน

เมล็ดมะม่วงหิมพานต์นับเป็นส่วนประกอบอาหารหลายชนิดในเอเชีย อาจบดให้ป่น เป็นเนยเมล็ดมะม่วงสำหรับใช้ทาขนมปังแบบเดียวกับเนยถั่วก็ได้ เมล็ดมะม่วงนี้มีน้ำมันพืชสูงมาก มีการนำไปใช้ในเนยถั่วอื่นๆ บาง ชนิด เพื่อเพิ่มน้ำมันพิเศษ เมล็ดมะม่วงบรรจุหีบห่อที่พบในสหรัฐอเมริกา ปริมาณ 30 กรัม มีพลังงาน 180 แคลอรี (750 กิโลจูล) โดยมีไขมัน 70%

ในเมล็ดมะม่วงหิมพานต์นี้ก็มีประโยชน์อยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อเทียบกับถั่วเปลือกแข็งด้วยกัน มะม่วงหิมพานต์ถือว่ามีไขมันน้อยกว่ามาก คือ 47% เท่านั้น ทำให้เมื่อแกะเปลือกออกแล้วเก็บได้นาน ไม่เหม็นหืน แถมไขมันในเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ก็ยังเป็นไขมันชนิดดีถึงกว่า 75% และมีแร่ธาตุที่สำคัญอย่างฟอสฟอรัสและแมกนีเซียม อีกทั้งยังมีวิตามินอีในปริมาณมากเท่าๆ กับในถั่วลิสง แถมยังมีเส้นใยมากถึง 16 กรัม ต่อเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ 100 กรัมอีกด้วย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี และผู้จัดการออนไลน์

เล่นกล้าม เพิ่ม เมตาบอลิซึม



เมตาบอลิซึม คือกระบวนการในสิ่งทั้งหลายที่เราทำ หรือที่เกิดขึ้นในร่างกายเรา ที่ต้องใช้พลังงานจากอาหารที่เรากินเข้าไป เช่น การหายใจ การคิด การย่อยอาหาร การเต้นของหัวใจ เดิน หรือการเล่นกีฬา กิจกรรมที่ใช้พลังงานเหล่านี้นี่เอง จะเป็นตัวกำหนดว่าคน จะอ้วน จะผอม จะเหลือไขมันพอกพูนอยู่ในร่างกายมากน้อยแค่ไหน

เมื่อคุณอายุราวๆ 30 ปี เมตาบอลิซึม ของร่างกายจะเริ่มลดลงราว 5 % ต่อปี นั่นหมายความว่า ถ้าคุณกินอาหารเท่าเดิม แต่คุณก็อ้วนขึ้นๆ จนต้องเปลี่ยน ไซด์ เสื้อผ้าให้ใหญ่ขึ้น เมื่อเรายิ่งอายุมากขึ้นมวลกล้ามเนื้อในร่างกายเรามันลดลง ทั้งนี้เป็นเพราะเราออกกำลังกายน้อยลง

ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ คาดคะเนว่า ทุกๆ 1 ปอนด์ของกล้ามเนื้อที่หายไป ทำให้การเผาผลาญพลังาน ลดลงไป 30 แคลอรี่ต่อวัน ผู้หญิงตอนอายุไกล้หมดประจำเดือน จะสุญเสียมวลกล้ามเนื้อไปราวครึ่งปอนด์ต่อปี แต่พอหมดประจำเดือนแล้วจะสูญเสียราว 2 เท่า ยิ่งถ้าเป็นคนที่ไม่ออกกำลังกายด้วยแล้ว พออายุ 65 ปี ก็อาจสูญเสียมวลกล้ามเนื้อไปถึงครึ่งหนึ่ง ของที่เคยมีตอนยังสาว ทำให้ความสามารถในการเผาผลาญอาหารลดลง วันละ 200-300 แคลอรี่เป็นผลให้อ้วนง่าย

การเพิ่มการเผาผลาญพลังงานไขมันเมื่อเราอายุมากขึ้นที่ ง่ายๆ คือ การเพิ่มการออกกำลังกายโดยการเล่นกล้าม ไม่แนะนำให้ไปวิ่งไปเดิน เพราะแม้เป็นสิ่งดี แต่ก็เป็นเพียงการใช้กล้ามเนื้อเฉพาะบางมัดเท่านั้น

ถ้าท่านเล่นกล้ามให้กล้ามเนื้อให้กล้ามเนื้อในแต่ละส่วนโตขึ้น แข็งแรงขึ้น จะทำให้การเผาผลาญพลังงานของท่านเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว การเล่นกล้ามเช่น อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ภายในไม่กี่เดือน จะทำให้กล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น เท่ากับที่สูญเสียไปใน 5-10 ปี การเล่นกล้ามจึงเป็นวิธีสร้างความหนุ่มสาวให้เกิดขึ้นอย่าง ง่ายๆ และรวดเร็ว

สำหรับผู้หญิงก็สามารถเล่นกล้ามได้ ผู้หญิงอาจจะเลือกเล่นกล้ามโดยไม่ทำให้แลดูน่าเกลียดก็ได้ คือเล่นกล้ามเนื้อที่ไม่มีไครมองเห็นได้ชัดเจนจากภายนอก เช่น กล้ามเนื้อหน้าท้อง ซึ่งจะทำให้ทรวดทรง องค์เอวดีขึ้น หรือถ้าเล่นกล้ามเนื้อหน้าอก ก็จะช่วยเสริมให้เต้านมดูสูงขึ้นเป็นสง่าราศีโดยไม่ต้องไปเสริมเต้าให้เสียเงิน นอกจากนี้ยังมี กล้ามเนื้อแก้มก้น กล้ามเนื้อหลัง ที่สามารถพัมนาให้โตขึ้น เพื่อการเผาผลาญพลังาน เพื่อลดใขมัน กล้ามเนื้อที่ว่า นี้มันซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อผ้า คนอื่นไม่เห็นก็ไม่ต้องกลัวน่าเกลียด ส่วนกล้ามเนื้อแขนกล้ามเนื้อน่องก็เพลาๆลงมาหน่อย อย่าให้มันโตขึ้น

การเล่นกล้ามที่ว่านี้ทำได้ไม่ยาก ไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินให้ศูนย์ฟิตเนท เพียงซื้อ ดัมเบลล์ ขนาดพอเหมาะซักชุด กับม้านั่งยาวสักตัว ก็สามารถเล่นกล้ามได้เกือบทุกมัดแล้ว

สำหรับคนที่ชอบกิน ถ้าไม่ได้กินแล้วไม่มั่นใจ ขอกินเพื่อให้การเผาผลาญพลังงานมากขึ้น ก็อาจลองในสิ่งต่อไปนี้ที่ไม่ค่อนอันตรายคือ

+ พริกแดง เคยมีการทดลองที่ญี่ปุ่นพบว่า พริกแดงที่มีรสเผ็ด สามารถเพิ่มเมตาบอลิซึ่มได้ 30 % แต่ข้อเสียคือต้องกินมาก ถ้าคุณเป็นคนชอบกินเผ็ดต้องระวังข้อเสียของมันคือทำให้เรากินข้าวมากขึ้น

+ ชาเขียว ได้รับการทดลองที่ สวิทเซอร์แลนด์ ว่า ถ้ากิน 3 เวลาหลังอาหาร จะเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น 80 แคลอรี่ใน 24 ชั่วโมงเมื่อเปรียบเทียบกับคาแฟอีนชนิดเม็ดหรือยาหลอก

+ คาแฟอีนในกาแฟ ก็เป็นสารอีกตัวหนึ่งที่เพิ่มการเผาผลาญพลังงานได้ กาแฟแก้วนึง (8ออนด์) สามารถเพิ่มเมตาบอลิซึ่มได้นาน 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะถ้ากินก่อนออกกำลังกายจะช่วยทำให้มีชีวิตชีวามากขึ้น คาแฟอีนมีฤทธิ์ไปละลายไขมันออกมาในกระแสเลือด ทำให้มันเป็นอิสระและถูกทำลายได้โดยง่าย

คัดลอกมาจาก http://www.thaifitway.com

ทุเรียนมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าไม้ผลหลายชนิด



ในขณะที่คนไทยยกย่องให้ “ทุเรียน” เป็นราชาและ “มังคุด” เป็นราชินีแห่งผลไม้

เป็นที่ยอมรับกันว่าทุเรียนไทยมีรสชาติอร่อยและคุณภาพดีที่สุดในโลก ปัจจุบันมีการส่งออกไปขายยังสาธารณรัฐประชาชนจีนมากที่สุด ระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคมของทุกปี ทุเรียนจากเขตพื้นที่ ภาคตะวันออกจะออกสู่ตลาด คนไทยนิยมบริโภคทุเรียนกันมากมีผลทำให้ผลไม้ชนิดอื่น ๆ ที่ออกสู่ตลาดในช่วงเวลาเดียวกันมีราคาตกต่ำ ในขณะเดียวกันมักจะมีคำเตือนจากหมอว่าไม่ควรกินทุเรียนในปริมาณมากเกินไป บ้างก็ว่าในเนื้อทุเรียนมีปริมาณแป้งและไขมันสูง เป็นของแสลงของผู้ป่วยโรคเบาหวาน, โรค ความดันโลหิตสูงและคนที่กลัวอ้วนทั้งหลาย

ขณะนี้มีเรื่องที่น่ายินดีที่จะทำให้คนที่บริโภคทุเรียนได้สบายใจขึ้น

เพราะทุเรียนไม่ได้มีแต่เพียงความอร่อยอย่างเดียว รศ.ดร.ระติพร หาเรือนกิจ, รศ.ดร.สุมิตรา ภู่วโรดม จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมกับ Professor Dr.Shela Gorinstein จากมหาวิทยาลัยฮิบบรูและคณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยการเกษตรวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ ได้ทำการศึกษาเชิงลึกของประโยชน์จากทุเรียนมีส่วนในการลดไขมัน ในเส้นเลือดในห้องปฏิบัติการและเมื่อทดลองกับหนูพบว่า ทุเรียนมีสารโพลีฟีนอลและสารฟลา โวนอยด์ ในปริมาณสูงเมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น โดยสารทั้ง 2 ชนิดนี้มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ

จากงานทดลองพบว่า

ทุเรียนที่มีความสุกพอดีจะมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าทุเรียนดิบหรือทุเรียนที่สุกเกินไป (ที่เรียกกันทั่วไปว่าทุเรียนปลาร้า) และยังพบว่าทุเรียน พันธุ์หมอนทอง มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระดีกว่า พันธุ์ชะนี และ พันธุ์ก้านยาว นอกจากนั้นเมื่อมีการตรวจวิเคราะห์ แร่ธาตุอาหารที่มีอยู่ในเนื้อทุเรียน อ.สุมิตรา บอกว่า ทุเรียนมีปริมาณเส้นใยอาหารและธาตุเหล็กสูงมากซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เมื่อมีการเปรียบเทียบทุเรียนพันธุ์หมอนทองกับผลไม้เมืองร้อนชนิดอื่น พบว่ามีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่า สละ, มังคุด, ลิ้นจี่, ฝรั่ง และมะม่วงสุก ตามลำดับ

คณะผู้วิจัยยังได้นำทุเรียนไปเลี้ยงหนูทดลอง

ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่พิสูจน์ว่าทุเรียนมีดีจริงไม่ใช่ เพียงข้อมูลในห้องปฏิบัติการเท่านั้น จากการเลี้ยงหนูทดลองด้วยอาหารที่ผสมทุเรียนกับคอเลสเตอรอล พบว่า หนูทดลองที่ได้รับทุเรียนหมอนทองในอาหาร สามารถลดสารคอเลสเตอรอลทั้งหมดได้ 16% และลด LDL คอเรสเตอรอลได้ถึง 31.3% เมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ได้รับอาหารที่มีคอเลสเตอรอล ผสมอย่างเดียว จากการทดลองในครั้งนี้ทำให้พบว่าถึงแม้ว่าในเนื้อทุเรียนจะมีปริมาณไขมันมากแต่ส่วนใหญ่เป็นไขมันดีที่มีประโยชน์ ต่อร่างกาย

จากงานทดลองในครั้งนี้ทำให้เห็นว่าทุเรียนจัดเป็นผลไม้ไทยอีกชนิดหนึ่งที่สามารถบริโภคเป็นอาหารและยาจัดเป็นผลไม้สุขภาพอีกชนิดหนึ่งของไทยแต่ควรจะบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2326-4100.


เนื้อหาข่าว โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

น้ำตาลกลูโคส และ ฟรุคโทส (น้ำตาลผลไม้)

คุณสมบัติทางเคมีบางประการของน้ำตาลกลูโคส และ ฟรุคโตส(น้ำตาลผลไม้)

น้ำตาลกลูโคส เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ที่สำคัญที่สุดในพวกคาร์โบไฮเดรต เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญในพืชและสัตว์ เป็นน้ำตาลที่หวานน้อยกว่าน้ำตาลซูโครส ในธรรมชาติจะพบอยู่ในรูปของ D-form (D-glucose) มีอีกชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “เดกซ์โทรส (dextrose)” ซึ่งมักจะเป็นชื่อที่ใช้เรียกแทนน้ำตาลกลูโคสในน้ำผึ้งและในอุตสาหกรรมอาหาร เป็นน้ำตาลที่พบอยู่ในกระแสเลือดเสมอ และเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีผลต่อการลดระดับน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือด คนปรกติจะมีน้ำตาลกลูโคสในเลือด 70-110 มิลลิกรัม ต่อ เลือด 100 มิลลิลิตร หากเกินกว่านี้จะเป็นโรคเบาหวาน (diabetics)

น้ำตาลฟรุคโตส เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ที่รู้จักกันในนาม “น้ำตาลผลไม้” เป็นน้ำตาลที่พบมากในผลไม้ ผัก และน้ำผึ้ง ฟรุคโตสเป็นแหล่งพลังงานในร่างกาย สามารถเปลี่ยนเป็นกลูโคสได้โดยตับและลำไส้เล็ก ละลายน้ำได้ดีกว่ากลูโคส เป็นน้ำตาลที่หวานที่สุด หวานกว่าน้ำตาลกลูโคสประมาณ 2 เท่า และหวานกว่าน้ำตาลซูโครส แต่ให้พลังงานเพียงครึ่งเดียวของซูโครส จึงมักใช้แทนน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ในธรรมชาติจะพบอยู่ในรูปของ D-form (D-fructose) มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ลีวูโลส (Levulose) ซึ่งมักใช้เรียกชื่อแทนน้ำตาลฟรุคโทสในอุตสากรรมอาหารและน้ำผึ้ง

ผู้เขียน : อาจารย์สมลักษณ์ วงศ์สมาโนดน์ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
โทร 0-5526-1001-4 ต่อ 3330มือถือ 0-9860-2155