9.3.63

การที่คนอื่นทำผิดได้... นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เราจะทำผิดตาม ทั้งๆรู้อยู่เต็มอกว่ามันผิด

12.2.53

อะไร คือ ความดี คนดี สิ่งที่ดี หรือสิ่งที่ดีที่ควรกระทำ...

สะอาด - สกปรก
ขยัน มานะ อดทน - ขี้เกียจ
อดออม ประหยัด - สุรุ่ย สุร่าย
ตรงต่อเวลา - มาสาย ผิดนัด
ซื่อสัตย์ สุจริต - ทุจริต คดโกง
พูดความจริง - โกหก หลอกลวง
ใจดี มีเมตตา ช่วยเหลือผู้อื่น - ใจร้าย รังแกคนที่อ่อนแอกว่า
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจ - แล้งน้ำใจ เห็นแก่ตัว
พูดจาไพเราะ สุภาพ - หยาบคาย
มีความรับผิดชอบ - ขาดความรับผิดชอบ จับจด
ยินดี สรรเสริญ ด้วยความจริงใจ - อิจฉา ริษยา
เก่ง ฉลาด - โง่

ไม่รู้ว่าทัศนคติคนยุคนี้เป็นแบบไหนแล้ว แล้วคุณล่ะจะเลือกแบบไหน
จะสอนลูกหลานว่าอะไรควรกระทำ ไม่ควรกระทำ?

ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม กับ มนุษย์

ทรัพยากรธรรมชาติ และ สิ่งแวดล้อม คืออะไร
ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม กับ มนุษย์
มนุษย์ ใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อความอยู่รอด
และตอบสนองความต้องการที่จะดำรงชีวิตอย่างมีความสุข
เมื่อใช้ทรัพยากรแล้ว ก็ส่งให้เกิดผลกับ สิ่งแวดล้อมตามมา
จะใช้ทรัพยากรอย่างไรให้สมดุล กับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ตามมา
เป็นกฏเกณฑ์ตามธรรมชาติ ที่ทุกสิ่งอย่างไม่ได้มีด้านดีเพียงอย่างเดียว
ดังนั้น เมื่อเราได้ประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
ผลสะท้อนออกมาต่อสิ่งแวดล้อม ย่อมไม่ดีแน่นอน
สิ่งที่ควรคำนึงในการใช้ทรัพยากร

๑. ใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ใช้อย่างชาญฉลาด เพื่อไม่ให้สูญเสียทรัพยากรโดยไร้ค่า ใช้ทรัพยากรอย่างคนฉลาด วางแผนการใช้ให้ได้ประโยชน์สูงสุดทั้งมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม

๒. คำนึงถึงประโยชน์ที่ได้รับ และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น คุ้มค่ากันหรือไม่

๓. ใช้ทรัพยากรไปแล้ว เพื่อความอยู่รอดของเราและให้คิดถึงไปว่าเพื่อความอยู่รอดของรุ่นลูกรุ่นหลานเราด้วย ไม่ใช่เรารอด แต่ลูกหลานเราไม่เหลืออะไรให้ใช้ และก็สูญพันธ์ไป

๔. ทรัพยากรธรรมชาติโดยส่วนใหญ่ ไม่มีเจ้าของ ถือว่าเป็นทรัพย์สินสาธารณะ ดังนั้นการใช้ทรัพยากรควรใช้ ด้วยความรับผิดชอบ ช่วยกันเป็นเจ้าของ นอกจากจะใช้ ก็ต้องมีการดูแลรักษา ฟื้นฟู ด้วยเช่นกัน

๕. ใช้ทรัพยากร อย่างเป็นคนดี เอื้อเฟื้อ แบ่งปันกันใช้  ไม่ละโมบ ไม่โลภมากไม่เห็นแก่ตัว ไม่มูมมาม

๖. ทรัพยากรไม่ใช่ สิ่งที่ถูกสร้างมาเพื่อตอบสนองความสะดวกสบาย แต่เพื่อให้มนุษย์ได้ใช้ชีวิตให้อยู่รอด

๗. ทรัพยากรนอกจากจะนำมาใช้ประโยชน์ทางตรง ก็ยังสามารถใช้ประโยชน์ทางอ้อมได้ด้วย อาทิ ใช้เพื่อความบันเทิง นันทนาการ ให้ความรู้ เป็นต้น

มองมุมกลับ... มองกลับมุม

คนส่วนใหญ่เมื่อมีโอกาสไปต่างประเทศ แล้วเค้าคิดกันอย่างไร มองอะไรกันแบบไหนนะ?
แต่ก่อนเมื่อผมมีโอกาสผมมักจะมองว่า บ้านเมืองเค้ามีอะไรบ้างนะ เป็นยังไง ต่างจากบ้านเราตรงไหน
อะไรที่ดีๆก็เก็บเอามาคิดว่า มันน่าจะใช้พัฒนาบ้านเมืองเรา
แต่ ณ ตอนนี้ ผมออกมาข้างนอกอีกครั้ง แล้วมองย้อนน.. กลับไป
ในเวลาที่เราอยู่ข้างนอก มันอาจทำให้เราเห็นประเทศไทย ได้ละเอียดมากขึ้นก็ได้
เมื่อเราก้าวออกมาข้างนอก เราพยายามที่จะมองสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยผ่านพบมาก่อน
ตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆที่ไม่เคยเห็น ไอ้นี่บ้านเราไม่มี ไอ้โน่นบ้านเราไม่มี
ไอ้นีบ้านเรามีแต่มันแปลกเนอะไม่เหมือนบ้านเรา บ้านเราน่าจะมีอย่างนี้บ้าง มีอย่างโน้นบ้าง
บ้านเราน่าจะเป็นอย่างนี้บ้าง น่าจะเป็นอย่างโน้นบ้าง
แต่แล้วรู้หรือไม่ว่าทำไมบ้านเราถึงไม่เป็นแบบนี้ ถึงไม่มีแบบนั้น
เรารู้จักตัวเองกันดีพอหรือยัง????
แต่ก่อนผมก็ได้แต่มองคนไทยในบางมุม ทุกวันนี้ก็ยังมองในบางมุมอยู่ดี
แต่ผมพยายามที่จะมองมุมกลับ มองกลับมุมบ้าง เผื่อจะรู้จักและเข้าใจคนไทยมากขึ้น

อย่าเอาอะไรมาเป็นบรรทัดฐานให้กับตัวเอง

คนเราอย่าเอาอะไรมาเป็นบรรทัดฐานให้กับตัวเองเลย

บางคนใช้ อายุ เป็นบรรทัดฐาน ยอมใครไม่ได้ ฟังใครไม่เป็น
เพราะคิดว่าตนเองอาวุโส
บางคนใช้ วุฒิการศึกษา เป็นบรรทัดฐาน ฟังใครไม่เป็น ยอมใครไม่ได้
เพราะคิดว่าตนเองมีการศึกษา

แต่ก็นั่นแหละ อายุและการศึกษา ก็ไม่ได้ทำให้ทุกคน เก่ง ฉลาด เป็นคนดีได้เหมือนกันหมดทุกคน
คนที่ได้รับการศึกษามาระดับหนึ่งก็ใช่ว่าจะรู้ทุกเรื่องไปเสียเมื่อไหร่
และก็ไม่มีใครหรอกที่จะรู้ไปเสียทุกเรื่อง

จากอดีต... สู่ปัจจุบัน 2552

ภาพความทรงจำเก่าๆ สมัยเป็นเด็ก กับชีวิตเด็กสมัยนี้มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แต่ก่อนต้องหิ้วกระเป๋า หิ้วปิ่นโตไปโรงเรียน เดินลัดเลาะคันนา หรือไม่ก็ถนนลูกรัง ดินแดงไปโรงเรียน
พอหน้าฝนก็ตั้งนั่งเรือไป เพราะน้ำท่วม เดินกันลำบาก
หน้าแล้ง ก็เดินลัด บ่อบัวชาวบ้านเค้า เพราะน้ำแห้งจนดินแตกระแหง
วันนี้... ไม่มีแล้ว เด็กๆนั่งรถโรงเรียน ไม่ต้องลำบาก
ลองให้เด็กสมัยนี้มาเดิน ไม่กี่เมตรก็หอบแฮ่กๆแล้ว
คนหันมาใช้รถยนต์กันมากขึ้น ถนนเมืองไทยเต็มไปด้วยรถยนต์
ถนนไม่ได้ถูกจัดสรรปันส่วนไว้เพื่อ คนเดินเท้า หรือจักรยานบ้างเลย
ซึ่งต่างจากประเทศที่พัฒนาแล้ว การคมนาคมขนส่งสาธารณะถือเป็นสิ่งสำคัญ
ที่จะลดการใช้รถยนตต์ส่วนตัว

หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะบอกทุกๆคนให้ช่วยกันอนุรักษ์และ
ดำรงชีวิตด้วยวิถีดั้งเดิมที่เคยเป็นมา แม้มันจะไม่ทันสมัยก็ตามที
คนเราควรค้นหาตัวเองให้เจอ และรักษาความเป็นเอกลักษณ์ (Uniqueness)
ความแตกต่าง (Diversity) เพราะสิงเหล่านี้แหละที่ทำให้เรามีคุณค่า ไม่ต้องเลียนแบบใคร

โครงการ "เมืองไทยน่าอยู่" ตอนที่ ๑

ทำงานไปทั่วภูมิภาค แล้วก็อพยพมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองอย่าง ญี่ปุ่น ที่เค้าว่ากันว่าพัฒนาเจริญก้าวหน้าที่สุด ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ผมต้องยอมรับเลยว่าทั้งๆเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า และในขณะเดียวกันสิ่งแวดล้อมก็ไม่ได้ถูกปล่อยปะละเลย และวัฒนธรรมเก่าแก่ทั้งหลายที่ก็ยังคงอนุรักษ์ มองดูทุกอย่างจัดการไว้เป็นอย่างดี ทั้งนี้อาจเป็นเพราะประเทศญี่ปุ่นเกิดวิกฤตในหลายๆด้านตั้งแต่หลังแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 และนอกจากนั้นสภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะการเกิดภัยธรรมชาติต่างๆมากมาย และดูจะเป็นเรื่องธรรมดาก็แผ่นดินไหวที่ตึกอาคารต่างๆได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ ทุกอย่างดูราวกับว่าเค้าได้เตรียมการเพื่อรองรับสถานการ์ณทุกอย่างแล้ว... คนญี่ปุ่นเป็นคนที่มองการณ์ล่วงหน้าเสมอ เตรียมพร้อม มองปัญหาก่อนที่ปัญหาจะเกิด



พอย้อนมามองเมืองไทย ผมบอกได้เลยการที่ได้เกิดในเมืองไทยเป็นโชคดีมากที่สุดแล้ว เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ทั้งพื้นดินและพื้นน้ำ แต่ทำไมประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่บางครั้งถูกมองข้ามหรือดูแคลน(ในความรู้สึกของผม) สาเหตุหลักก็มาจากคนไทยเองนี่แหละ คนไทยเองยังไม่ภูมิใจในความเป็นไทยแล้วจะให้ใครมาภูมิใจ คนไทยนิยมของนอก เห่อของฝรั่งต่างชาติ ร้องเท้า เสื้อผ้า กระเป๋าแบรนเนมจากนอก ความสุขของคนไทยยึดติดกับวัตถุมากขึ้นทุกวันๆ นอกจากนั้นผมยังมองว่าคนไทยติดนิสัย ทำอะไรได้ตามใจคือไทยแท้ ทำให้เราอยากทำอะไรก็ได้ตามใจกรู โดยที่ไม่สนใจคนรอบข้างว่าจะเป็นยังไง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมือง) นอกจากจะทำอะไรตามใจ บางครั้งไม่ยอมรับฟังความเห็นคนอื่นหรือว่าฟังๆไปอย่างนั้นเอง หรือบางทีอาจจะพูดได้ว่าคนไทยขาดทักษะในการฟัง การสื่อสาร (อันนี้ก็รวมถึงตัวผมเองด้วย แต่ก่อนผมก็ว่าผมเป็นคนพูดน้อย ฟังมากแล้วนะ พอมาเรียนรู้ชีวิตคนญี่ปุ่น มันทำให้ผมรู้ว่าปัญหาของผม ปัญหาของคนไทยมากยิ่งขึ้น)

หากคนไทยมีความสุขกับสิ่งที่เป็น และรู้คุณค่าและภูมิใจในสิ่งที่เป็น่และช่วยกันดูแลและบำรุงรักษาวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามที่มีมาแต่โบราณ ผมว่าเมืองไทยจะเป็นเมืองที่น่าอยู่มากยิ่งขึ้นและไม่ถูกดูแคลน สักวันผมจะกลับไปพร้อมกับโครงการ "เมืองไทยน่าอยู่"

๑. ผมอยากบอกให้ทุกคนรู้ว่า ชาวไร่ ชาวนา ชาวประมง ทุกอาชีพล้วนแล้วแต่มีความสำคัญและสามารถมีความสุขในการใช้ชีวิตได้ทั้งนั้น ความสุข ไม่ใช่แค่การมีเงินมีทองมากมายก่ายกอง ความสุขในการใช้ชีวิตคือการได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขทางกาย ทางใจ มากกว่าการที่ต้องขวนขวายจนเกินตัว ชีวิตที่เรียบง่าย พออยู่พอกินในครอบครัว มีเวลาให้กัน ใช้เวลาร่วมกัน นี่ก็ถือว่าเป็นการใช้ชีวิตที่สุข สงบแล้ว

๒. เมื่อก่อนคนไทยอยากให้ลูกให้หลานเรียนสูงๆ เพื่อมาเป็นเจ้าคนนายคนจะได้ทำงานสบาย แต่ปัจจุบันบอกได้เลยว่าการเป็นเจ้าคนนายคนมันไม่ใช่เรื่องสบายเลย เมื่อโตขึ้นตำแหน่งสูงขึ้น ความรับผิดชอบมากขึ้น คิดมากขึ้น นอกจากนั้นเรียนสูงขึ้นก็ต้องย้ายที่อยู่ไปอีก ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก บางครั้งถามว่าทำไมคนสมัยนี้ถึงทิ้งคนเฒ่าคนแก่ไว้บ้านนอก หรือเฝ้าบ้านล่ะ ก็เพราะความคิดอยากให้ลูกให้หลานได้เรียนสูงๆนี่เอง ครั้งพอเรียนจบก็ต้องทำงานในเมือง ก็ไม่รู้ว่าจะสุขหรือทุกข์ดี และบางทีระบบการศึกษาปัจจุบันก็ไม่ได้ทำให้คนเรามีความรู้มากขึ้น หรือว่าเป็นคนดีขึ้นด้วย

๓. ชีวิตคือ การเรียนรู้ ดังนั้นไม่เฉพาะการเรียนตามระบบเท่านั้นหรอกที่จะทำให้คนเรามีความรู้ ฉลาด รักษาตัวรอด ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข บางทีตาสีตาสาธรรมดามีความสุขกับการใช้ชีวิตมากกว่านักธุรกิจร้อยล้านพันล้านเสียอีก

๔. ทรัพยากรธรรมชาติ อากาศ แม่น้ำ ท้องไร่ ท้องนา วันข้างหน้าจะเป็นของใคร ก็เป็นของเด็กเยาวชนคนรุ่นใหม่ ดังนั้น ณ ปัจจุบันสิ่งที่มีและสิ่งที่กำลังจะเป็นไปนั้น มันเป็นสิ่งที่เค้าทั้งหลายจะต้องช่วยกันดูแลและจัดการในแนวที่เค้าอยากให้มันเป็นไป แม่น้ำที่เคยใสสะอาดแต่ก่อนเคยโดดเล่นได้ เดี๋ยวนี้เค้าไม่มีโอกาสอย่างนั้นแล้ว ถนนที่แต่ก่อนเด็กๆปั่นจักรยานไปโรงเรียน เดินไปโรงเรียนกัน เดี๋ยวนี้เค้าทำเช่นนั้นไม่ได้อีกแล้ว เพราะถนนขวักไขว่ไปด้วยรถคันใหญ่ไม่เคยเห็นหัวคนเดินริมถนนเลยแม้แต่น้อย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของเขาทั้งสิ้น เค้าจึงควรวางแผนและช่วยกันจัดการเพื่อให้ได้สิ่งที่เค้าต้องการ

๕. สิทธิที่เค้าพึงมี แม้จะเป็นเด็กก็ตาม แต่นั่นคือ มรดกที่เค้าจะได้รับมัองในอนาคตข้างหน้า เค้าต้องการมรดกแบบไหนกัน อากาศเป็นพิษ น้ำเน่าเสีย ถนนที่คร่าคร่ำไปด้วยรถยนต์ ต้นไม้มีเฉพาะในสวนสาธารณะ อันตรายในการใช้ถนนเช่นนั้นเหรอ

16.1.53

สถิติการวิ่ง ปี พ.ศ. 2552

วันที่  รายการ สถานที่ ระยะทาง(กม.) ระยะทางสะสม  อันดับที่      ถ้วยรางวัล
01 ก.พ. ดรุณา-นารีมินิ-ฮาล์ฟมาราธอน ร.ร.ดรุณานารี อัมพวา จ.สมุทรสงคราม 10 10 -
08 ก.พ. พันท้ายนรสิงห์มินิ-ฮาล์ฟมาราธอน วัดพันท้ายฯ จ.สมุทรสาคร 10 20 -
15 ก.พ. ม.พระจอมเกล้าธนบุรีมินิ-ฮาล์ฟมาราธอน มจธ. ทุ่งครุ ธนบุรี กรุงเทพ 21 41 5-1
08 มี.ค. เขากบ มินิ-ฮาล์ฟมาราธอน 52 จ.นครสวรรค์ 10 51 3-2
29 มี.ค. The 28th Sakura Asahi Kenkoh Marathon Sakura, Chiba, JAPAN 42 93 -
11 เม.ย. พญาลิไทมินิมาราธอน ต.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย 10 103 -
12 เม.ย. วิ่งผลัด สงกรานต์มาราธอน ปีที่ 23 สวนลุมพินี กรุงเทพ 12.5 105.5 -
03 พ.ค. 40 ปี กฟผ.มินิมาราธอน กระทรวงสาธารณะสุข จ.นนทบุรี 10 115.5 -
10 พ.ค. อ่างทองมินิ-ฮาล์ฟมาราธอน วัดขุนอินทรประมูล อ.เมือง จ.อ่างทอง 21 136.5 3-3
17 พ.ค. KFC เพื่อสังคมมินิมาราธอน พัทยา จ.ชลบุรี 10 146.5 -
23 พ.ค. ๑๐๐ ปีเมืองแกลง มินิ-ฮาล์ฟมาราธอน ถ.บ้านบึง-แกลง (กม.3) จ.ระยอง 21 167.5 -
24 พ.ค. จันทบุรีมินิ-ฮาล์ฟมาราธอน สวนธารณสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช อ.เมือง จ.จันทบุรี 21 188.5 -
31 พ.ค. บางปูกาชาดมินิ-ฮาล์ฟมาราธอน เมืองโบราณ จ.สมุทรปราการ 21+ 209.5 5-4
07 มิ.ย. วิ่งผลัด อ่าวไทย สู่ อันดามัน (สงขลา-สตูล) 2552 สงขลา-สตูล ปากบารา 13 222.5 -
14 มิ.ย. Laguna Phuket Int’l Marathon ลากูน่า จ.ภูเก็ต 42 264.5 -
21 มิ.ย. ลานสการมาราธอน ครั้งที่ 5 อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช 42 306.5 -
05 ก.ค. อบจ. สุราษฎร์ธานีมาราธอน สะพานนริศ ริมแม่น้ำตาปี อ.เมือง จ.สุราษฎร์ฯ 42 348.5 5-5
06 ธ.ค. Angkor Wat International Half Marathon Angkor Wat, Siam Reap, Cambodia 21 369.5 -

ปีนี้วิ่งรวมระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 370 กม.เอง
เนื่องจากมีการหักเหของชีวิต มีเหตุให้ต้องอพยพมาอยู่ญีปุ่นในครึ่งปีหลัง
ก็เลยได้มาแค่เนี้ยละครับปี 2552 ส่วนปี 2553 คงจะน้อยลงกว่านี้แน่เลย
เพราะที่ญี่ปุ่นไม่ได้จัดวิ่งทุกอาทิตย์เหมือนเมืองไทย
ค่าสมัครก็แพงกว่าบ้านเราอีก บ้านเราสอง สามร้อยบาทก็วิ่งได้แล้ว
อยู่ที่นี่ค่าสมัครอย่างเดียวก็เป็นพันเข้าไปแล้ว... แต่ยังซ้อมไปเรื่อยๆ
กลับไปเมืองไทยเมื่อไหร่ เป็นได้เห็นดีกัน อิ อิ

29.12.52

เรื่องพนันของหญิงชรา

หญิงชรานางหนึ่งถือถุงใบเขื่องเดินเข้าไปในธนาคาร
และกล่าวกับพนักงานที่เคาน์เตอร์ ว่าต้องการ
ฝากเงินสามล้านบาทแต่ขอคุยกับผู้จัดการโดยตรง
พนักงานเห็นว่าหญิงชรามีเงินจำนวนมาก เลยพาไปห้องผู้จัดการเมื่อไปถึง ผู้จัดการเกิดความสงสัยว่า หญิงชราไปเอาเงินมาจากไหนเลยถามขึ้นว่า

ผู้จัดการ - คุณยายเอาเงินมาจากไหนมากมายครับ?
คุณยาย - ยายชนะพนันมาจ้ะ
ผู้จัดการ - ยายไปพนันอะไรมาเหรอครับ?
คุณยาย - ก็ไม่มีอะไรมากหรอกพ่อหนุ่ม....อยากรู้ใช่ไหม?

เรามาลองพนันกันก็ได้สักแสนนึง เอาไหมล่ะ? ว่าก่อนเก้าโมงเช้าวันพรุ่งนี้ไข่ของพ่อหนุ่มจะกลายเป็นสี่เหลี่ยม

ผู้จัดการ - ฮ่าฮ่าฮ้า ล้อเล่นน่า จะพนันกันจริงๆเหรอ?
คุณยาย - จริงๆซิ ยายมีเงินไม่เห็นเหรอนี่ไงตั้งสามล้าน....คุณยายเปิดถุงเงินให้ผู้จัดการดู

ผู้จัดการเห็นว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่ไข่ของตนจะกลาย เป็นสี่เหลี่ยม เลยตอบตกลงรับคำท้าและนัดแนะกันว่าพรุ่งนี้เช้าเก้าโมงจะมาพบกันอีกที
ตลอดวันนั้นผู้จัดการไม่เป็นอันทำงานเฝ้าแต่คอยคลำไข ่ตัวเองว่ายังกลมๆรีๆ อยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า รุ่งเช้าตื่นขึ้นมาผู้จัดการก็ไม่ลืมที่จะตรวจสอบลูกน้อยทั้งสองใบว่ายังกลมอยู่เหมือนเดิมจริง ๆ
เมื่อคลำดูแล้วก็ยังกลมๆดีอยู่ ผู้จัดการเลยรู้สึก กระหยิ่มใจว่าวันนี้รวยแน่


เวลาเก้าโมงตรงหญิงชรามาที่ธนาคารและตรงไปที่ห้องผู้จัดการทันทีพร้อมกับชายอีกคน

ผู้จัดการ - สวัสดีครับคุณยาย อ้าว...พาใครมาด้วยละนี่?
คุณยาย - อ๋อ…ทนายน่ะ ยายเห็นเงินพนันมันมากเลยพาทนายมาด้วย
ผู้จัดการ - ฮุฮุ…คุณยายผมเสียใจด้วยนะคุณยายแพ้พนันผมแล้วหละไข่ ผมยังกลมอยู่เลยนี่ไง

ว่าแล้วผู้จัดการก็จัดแจงปลดกางเกงลงและเรียกให้หญิง ชรามาตรวจสอบน้องชายได้
หญิงชราจึงเดินเข้าไปแล้วก็ลูบๆคลำๆไข่ผู้จัดการอยู่ สักพักแล้วพูดขึ้นว่า

คุณยาย - อืมมมม ยังกลมอยู่จริงๆ ยายยอมแพ้แล้ว

ขณะที่คุณยายกำลังคลำไข่ผู้จัดการอยู่นั้น... ผู้จัดการเหลือบไปเห็นทนายที่มากับหญิงชรากำลังเอาหั วโขกกำแพงอย่างแรงติดๆกันหลายครั้ง เลยถามคุณยายว่า

ผู้จัดการ - ยายๆ ทนายของยายเขาเป็นอะไรเหรอ?
คุณยาย - อ๋อ… เขาแพ้พนันยายน่ะ
ยายบอกเขาว่า ภายในเที่ยงวันนี้ยายจะได้คลำไข่ผู้จัดการแบ็งค์ใน officeของผู้จัดการเองเลย
ทนายเขาไม่เชื่อ เราเลยพนันกันสองแสน....อิอิอิ..................

16.12.52

งานเดินเพื่อสุขภาพของ คนญี่ปุ่น




คนญี่ปุ่น ถือว่าเป็นประเทศที่มีคนอายุยืนมากที่สุดในโลก นอกจากเคล็ดลับการกินแล้ว เนื่องจากภูมิอากาศที่หนาวเย็นทำให้คนญี่ปุ่นชอบออกกำลังกายอีกด้วย และการออกกำลังง่ายๆก็คือ การเดิน-วิ่ง

ประชากรผู้สูงอายุของญี่ปุ่นมีจำนวนมากขึ้น การส่งเสริมการออกกำลังกายในผู้สูงอายุเพื่อให้มีความแข็งแรงของญี่ปุ่นก็มีมากด้วย ซึ่งรวมไปถึงการสนับสนุนให้เด็กหรือเยาวชนเริ่มออกกำลังกายตั้งแต่เด็ก เพื่อเป็นการฝึกฝนความอดทน

รูปแบบ การเดิน-วิ่งในญี่ปุ่น จึงแตกต่างกันออกไปอย่างเห็นได้ชัด สำหรับนักวิ่งที่ต้องการแข่งขันเรื่องของเวลา ก็จะมีสนามแข่งขันที่ชัดเจน มีการกำหนดระยะเวลา  ส่วนคนที่เน้นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพก็จะมีสนามรูปแบบเพื่อสุขภาพโดยเฉพาะ


โดยปกติการจัดกิจกรรมเดิน-วิ่งก็ค่อนข้างจะยุ่งยากพอดูอยู่แล้ว และในญี่ปุ่นก็เช่นกันและดูเหมือนจะยุ่งมากกว่าด้วย เพราะการจัดกิจกรรมแต่ละครั้งจะพยายามกำหนดให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมสมัครล่วงหน้าเพื่อที่จะทำประกันให้


และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเดินเพื่อสุขภาพ ทุกคนจะต้องเตรียมพร้อมในการเดินแต่ละระยะ งานนี้มี  30 กม.  15กม. และ  7กม. เดินกันวันเสาร์และวันอาทิตย์ สองวันเลย โดยที่ทุกคนสามารถเลือกได้ว่าจะเดินวันไหน ระยะเท่าไหร่ตามความถนัด หรือจะเดินทั้งสองวันเลยก็ได้


เนื่องจากอากาศมันหนาวก็แต่งตัวกันอย่างที่เห็น แบกเป้กันของใครของมัน กระติกน้ำ ขวดน้ำพร้อม เนื่องจากมาเดินกันเพื่อสุขภาพ เรื่องรางวัลไม่มี แต่ว่า

ตอนสมัคร... ท่านจะได้แผนที่และคู่มือการเดินของแต่ละสนามและในแต่ละวัน วันเสาร์-อาทิตย์เส้นทางก็จะต่างกัน

แผนที่ที่ได้มา ก็จะมีชองสำหรับประทับตรา ว่าได้เข้าร่วมสนามนี้แล้ว เส้นทางนี้ เพื่อเก็บเป็นที่ระลึกหรือสะสมสนามการเดิน



ก่อนเริ่มการเดินเพื่อสุขภาพในวันนี้ ก็จะมีการแนะนำเส้นทางของแต่ละระยะ  แล้วก็ยืดเส้นยืดสายกันก่อนออกสตาร์ท

ระยะ 30  กม. เริ่มสตาร์ก่อน ตามด้วย 15 กม. ผู้ใหญ่ และ 15 กม. รุ่นเยาว์   และปิดท้ายด้วย  7  กม.

7 กม. เป็นระยะที่สั้นที่สุดคนเดินน้อยที่สุด  ดังนั้นก่อนออกสตาร์ท ก็จะมีกิจกรรมสันทนาการสร้างความครื้นเครงกันก่อน โดยมีกลุ่มนักศึกษาเข้ามาเป็นส่วนร่วมในการจัดกิจกรรม




เมื่อเริ่มออกสตาร์ทเจ้าหน้าที่จะคอยประทับบนแผนที่ให้กับนักเดินที่ผ่านจุดสตาร์ทออกไป เหมือนเป็นการเช็คพอยท์เริ่มต้น และก็รับน้ำเพื่อดื่มระหว่างทาง

วันนี้เด็กๆมาเดินกันคนละ 15 กม. โดยจะมีผู้ปกครองพามา เห็นในภาพคงไม่ต้องบอกว่าเยาวชนรุ่นไหน ทั้งนี้ไม่ใช่เพื่อการแข่งขัน แต่เป็นการฝึกความอดทนให้กับเยาวชน

ที่ญี่ปุ่นเด็กๆส่วนใหญ่ต้องเดินไปโรงเรียน ไม่มีผู้ปกครองขับรถมาส่ง แต่ความปลอดภัยก็สูงกว่าบ่านเรา รถไม่เยอะ แล้วก็ถือว่าคนเดินถนนมีความสำคัญและได้รับการดูแลตามกฏหมาย  บ้านเราคนต้องหลบรถ แต่ที่นี่รถต้องหยุดให้คนเดินก่อน   


มาเดินกันหลายๆคน  เด็กๆก็สนุก แทนที่จะรู้สึกเบื่อหรือเหนื่อย หรือถูกบังคับให้มาวิ่งหรือเดิน
















เดินเข้าสู่เส้นชัย ก็ประทับตราอีกรอบ เพื่อแสดงว่าได้เดินสำเร็จแล้ว และรับของที่ระลึกจากการแข่งขัน





เด็กๆเดิน 15 กม.





หลังจากเข้าสู่เส้นชัยก็นั่งพักเหนื่อย ก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน พรุ่งนี้มาเดินต่อกันอีกวัน...



เส้นทางการเดินแต่ละระยะก็มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลให้ความปลอดภัย

เดินเข้าสู่เส้นชัย ก็ประทับตราอีกรอบ เพื่อแสดงว่าได้เดินสำเร็จแล้ว และรับของที่ระลึกจากการแข่งขัน

ส่วนน้องสามคนนี้เดิน 15 กม. วันเสาร์และวันอาทิตย์เลย... เฮ้อ สุดยอดด...

23.11.52

กินยั้งมะเร็งกับนักกำหนดอาหาร

มีหลายปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง และนั่นรวมถึงการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม แบบไหนเรียกว่าเหมาะสม หรือไม่เหมาะสม ต้องติดตามสาเหตุของการเกิดมะเร็ง มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างด้วยกัน นอกเหนือจาก 'พันธุกรรม' ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็ง การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม เป็นสาเหตุหนึ่งในสามของการเสียชีวิตจากมะเร็งทั้งหมด"มะเร็งบาง ชนิดมีการทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากอะไร เช่น มะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส มะเร็งปอดสาเหตุสำคัญคือการสูบบุหรี่ แต่ยังมีมะเร็งอีกหลายชนิดที่เราไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน ซึ่งอาหารก็ถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งซึ่งอาจทำให้เกิดมะเร็งเหล่า นั้นได้ เช่น มะเร็งลำไส้ เชื่อว่าการที่เรารับประทานอาหารที่มีกากใยน้อยอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ เกิดมะเร็งลำไส้ได้ การรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนเชื้อราอาจเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งตับ แต่คนเป็นมะเร็งตับเกิดจากอาหารอย่างเดียวหรือเปล่า...ก็ไม่ใช่"

นุชธิดา สมัยสงฆ์ นักกำหนดอาหาร โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวถึงความสัมพันธ์ของอาหารกับมะเร็งเป็นสาเหตุของกันและกันได้อย่างไรปัจจุบัน นักกำหนดอาหาร มีส่วนสำคัญต่อการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง โดยเป็นหนึ่งใน Patient Care Team ทำงานร่วมกับทีมแพทย์ ดูแลด้านโภชนาการของผู้ป่วย ทำหน้าที่ประเมินภาวะโภชนาการ วางแผนโภชนบำบัดและให้คำแนะนำถึงรูปแบบการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและสอด คล้องตามสภาวะร่างกาย สภาวะของโรค แผนการรักษา และพฤติกรรมผู้ป่วยแต่ละราย ดูแลความถูกต้องของอาหารที่ผู้ป่วยได้รับขณะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลให้ ตรงตามคำสั่งการรักษาของแพทย์ พร้อมประเมินและติดตามผลการโภชนบำบัดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงให้คำแนะนำเวลาผู้ป่วยกลับไปพักฟื้นที่บ้านให้สามารถเป็นแนวทาง ปฏิบัติต่อไปได้การรับประทานอาหารที่ดีและได้รับสารอาหารครบถ้วนก่อนการรักษา ระหว่างการรักษา และหลังการรักษา จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและดีขึ้น วิธีการทำงานของ 'นักกำหนดอาหาร' คือ ประเมินน้ำหนัก-ส่วนสูงของผู้ป่วยมะเร็ง ที่นี่เรามีเครื่องมือวัดไขมันใต้ผิวหนัง วัดปริมาณกล้ามเนื้อในร่างกาย ซักประวัติการรับประทาน คนไข้มีประวัติน้ำหนักเปลี่ยนแปลงมากขึ้นหรือลดลงหรือไม่ การรับประทานอาหารมีภาวะคลื่นไส้อาเจียนหรือไม่ ใช้หลายข้อมูลประกอบกัน บางครั้งคนไข้มีการเจาะเลือดก็จะใช้ผลเลือดมาประกอบด้วยนุชธิดา สมัยสงฆ์ กล่าวและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างการดูแลภาวะโภชนาการกับผู้ป่วยมะเร็งว่า "คนไข้มะเร็ง ก่อนผ่าตัดเราต้องดูแลภาวะโภชนาการให้เหมาะสม เพื่อที่หลังผ่าตัดระยะเวลาในการอยู่โรงพยาบาลจะได้สั้นลง แผลหายได้เร็วขึ้น ต้องดูว่าก่อนหน้ามาโรงพยาบาลหกเดือนคนไข้มีการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว หรือเปล่า ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาลักษณะการรับประทานได้เหมือนเดิม หรือรับประทานเพิ่มขึ้นหรือลดลงหรือไม่ อาหารกลุ่มไหนที่รับประทานเป็นหลัก เช่น ในส่วนของข้าวรับประทานข้าวขาวหรือข้าวกล้อง ปริมาณมากน้อยแค่ไหนในแต่ละมื้อ เนื้อสัตว์ที่รับประทานเป็นเนื้อสัตว์แบบไหน ประเมินอาหารในแต่ละส่วน ก่อนผ่าตัดมีการเจาะเลือด ก็จะดูผลเลือดว่ามีส่วนไหนที่บกพร่อง มีน้ำตาลในเลือดสูง มีไขมันในเส้นเลือดแค่ไหน ถ้าการผ่าตัดกรณีที่รอได้ เราก็จะปรับภาวะโภชนาการให้อยู่ในระดับที่ดีก่อน"ในฐานะนักกำหนดอาหาร นุชธิดาให้ข้อคิดเกี่ยวกับการรับประทานอาหารเพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงการเป็นมะเร็ง ดังนี้

  • รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (แอนตี้ออกซิแดนท์) ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี และซีลีเนียม แหล่งอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระคือ ผัก ผลไม้ และธัญพืชต่างๆ (ถั่วต่างๆ ลูกเดือย ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์) ผัก-ผลไม้ควรรับประทานทุกวัน ถ้าเป็นผักสุกมื้อหนึ่งประมาณหนึ่งทัพพี ถ้าเป็นผักสดประมาณหนึ่งถ้วยข้าวต้มอย่างน้อย ถ้ารับประทานได้มากขึ้นก็เป็นสิ่งที่ดีมากขึ้น สำหรับผลไม้ปริมาณที่เหมาะสมคือกินให้ได้ 2-3 ครั้ง/วัน ถ้าเป็นผลไม้ลูกกลมๆ เช่น แอปเปิล ให้กินหนึ่งผลต่อหนึ่งมื้อ ถ้าเป็นผลไม้ลูกโตๆ เช่น สับปะรด แตงโม มื้อหนึ่งควรกินให้ได้ประมาณ 8 คำ


  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อมะเร็ง เช่น อาหารที่มีการเติมสารถนอมอาหารต่างๆ เช่น สารกันบูด สารกันเชื้อรา


  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเชื้อราปนเปื้อน นอกจากดูวันผลิตและวันหมดอายุซึ่งเป็นหลักสำคัญ รองลงไปคือสังเกตด้วยตาเปล่า ถ้ามีเชื้อราเพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรรับประทานแล้ว อาหารที่เลยกำหนดวันหมดอายุไปเพียงเล็กน้อยก็อาจมีเชื้อราที่มองไม่เห็นด้วย ตาเปล่าเกิดขึ้นได้เช่นกัน


  • หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัดหวานจัด


  • หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่ให้ไขมันมากเกินไป อาหารที่มีไขมันสูง การได้รับไขมันในปริมาณมากเกินไป คือเกิน 30-35% ของพลังงานที่เราได้รับทั้งหมด โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว ไขมันที่มาจากสัตว์ อาจมีผลทำให้เกิดมะเร็งได้ เป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่ง


  • หลีกเลี่ยงอาหารประเภทปิ้ง-ย่างหรือเผาไหม้จนเกรียม โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ เนื่องจากไขมันในสัตว์เนื้อแดงและสัตว์ปีกเมื่อเจอกับความร้อนจะเกิดสารออกซิเดชั่น เป็นสารแห่งความเสื่อม ซึ่งจะทำให้เกิดโรคในกระบวนการความเสื่อมต่างๆ เช่น ทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็งแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่าอาหารปิ้ง-ย่างเป็นอันตรายจน กระทั่งกินไม่ได้ ยังสามารถกินได้ใน ปริมาณพอเหมาะ ที่สำคัญคือ ไม่ควรกินติดต่อกันเป็นประจำ (หรือที่เรียกว่ากินซ้ำซาก) เพราะเท่ากับเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งมากขึ้น แต่ถ้าหลีกเลี่ยงได้จะเป็นการดีที่สุด

นุชธิดา สมัยสงฆ์ ให้ความเห็นไว้ด้วยว่า ถ้าย้อนกลับไปดูในอดีต ผัก-ผลไม้ เป็นสิ่งที่คนไทยกินทุกวัน คนสมัยก่อนถ้าไม่กินผักกินข้าวไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่สมัยนี้เราไม่กินผัก-ผลไม้ บางคนไม่เคยคิดว่าวันนี้กินผัก-ผลไม้ไปหรือยัง คือกินไปตามความอยาก โดยที่ไม่ได้ดูว่ามีส่วนประกอบอะไรในอาหารบ้าง เช่น ถ้าเรากินข้าวมันไก่ มีแตงกวาสองสามชิ้น ก็ไม่ใช่ปริมาณที่เพียงพอ ตอนเย็นก็ไปกินพิซซ่า แต่ไม่ตักสลัด ก็ไม่ได้ผักอีก ตอนเช้าดื่มนมแค่กล่องเดียว ก็ไม่มีผัก ถามว่ากินผลไม้หลังอาหารหรือเปล่า...ก็ไม่ เลือกกินเป็นขนม บางคนก็ดื่มน้ำหวาน น้ำเปล่าก็ได้รับน้อยลง เหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งอันเนื่องจากการรับประทานอาหาร ที่ไม่เหมาะสมในชีวิตประจำวันนอกจากเลี่ยงอาหารที่เป็นปัจจัยเสี่ยง ต่อการทำให้เกิดมะเร็ง คราวนี้ลองมาพิจารณาว่าจะกินอาหารอย่างไรเพื่อช่วยให้ห่างไกลจากมะเร็ง ซึ่งมีคำแนะนำเบื้องต้นดังนี้


  • เลือกกินอาหารที่มาจากพืชเป็นส่วนใหญ่ การรับประทานอาหารในแต่ละมื้อควรมีผักและผลไม้ทุกครั้ง (อาหารที่มีกากใยสูง)


  • ควรรับประทานผักให้มีความหลากสี (ไม่ควรรับประทานชนิดเดียวซ้ำๆ) เช่น ผักสีขาว ได้แก่ หอมใหญ่ ผักกาดขาว ดอกแค กะหล่ำปลี, ผักสีเขียว ได้แก่ บร็อกโคลี ถั่วฝักยาว คะน้า ผักบุ้ง, ผักสีแดง ได้แก่ มะเขือเทศ แครอท, ผักสีเหลือง ได้แก่ ข้าวโพดอ่อน ฟักทอง, ผักสีม่วง ได้แก่ มะเขือม่วง


  • หากต้องการโปรตีน ลองหันมากินโปรตีนจากพืช เช่น เห็ด ถั่วเหลือง สลับกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์


  • เลือก รับประทาน 'อาหารว่าง' ที่ประกอบจากผักหรือผลไม้ แทนขนมหวาน เช่น ผลไม้สด ผลไม้ลอยแก้ว น้ำส้มคั้นสด น้ำบีทรูท น้ำฟักทอง น้ำแครอท

ใครๆ ก็รู้ว่าป้องกันไว้ก่อนดีกว่ามาตามแก้ไขภายหลัง แต่คนเรามักชะล่าใจ ปล่อยตัวตามใจปากตามใจอยาก อย่างไรก็ตาม 'มะเร็ง' นอกจากต้องระวังเรื่องอาหารการกิน เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ยังมีเรื่องของ 'สิ่งแวดล้อม' และ 'ความเครียด' เข้ามาเป็นปัจจัยอีกด้วย


เมนูอาหารต้านมะเร็ง :

1. สไปซี่นัทส์ (Spicy Nuts)
ส่วนผสม: ถั่วบราซิล 140 กรัม ถั่วเฮเซล 115 กรัม ถั่วอัลมอนด์ 140 กรัม มะม่วงหิมพานต์ 140 กรัม ถั่วพีแคน 110 กรัม น้ำพริกแกงแดง 4 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ สาหร่ายโนริอบแห้ง 1 แผ่น เกลือปรุงรส (เล็กน้อย)
วิธีทำ: ผสมถั่วทั้งหมดลงในโถคลุกอาหาร ตามด้วยน้ำพริกแกงแดง น้ำผึ้ง เกลือ คลุกเคล้าจนเข้ากันดี เทใส่ถาดอบ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 15-20 นาที หรือจนถั่วเป็นสีเหลืองสวย ทิ้งให้เย็น ม้วนสาหร่ายให้แน่น หั่นตรงกลางความยาว ซ้อนสาหร่ายแล้วหั่นเป็นเส้นๆ (หรือใช้กรรไกรตัดก็ได้) ผสมกับถั่วใส่ไว้ในขวดโหลกันอากาศ เก็บไว้รับประทานเป็นของว่าง
คุณค่าอาหาร: ถั่วเปลือกแข็งชนิดต่างๆ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญต่อการป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก คือ ซีลีเนียมและวิตามินอี เส้นใยอาหารสูงในถั่วยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้อีกด้วย


2. แซลมอนดิ๊ปอโวคาโด (Salmon dip Avocado)
ส่วนผสม: กระเทียม 1 กลีบ อโวคาโด 1 ผล แซลมอนนึ่งสุก 100 กรัม เต้าหู 125 กรัม มะเขือเทศบด 1 ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูสดสับ 1/2 ช้อนชา พาร์สลีสดสับ 1 ช้อนชา มะเขือเทศ 1 ลูก ขนมปังโฮลวีต
วิธีทำ: ทุบกระเทียมแล้วบดให้ละเอียด ปอกอโวคาโดแล้วหั่นเป็นชิ้นๆ ใส่ลงในเครื่องบด ตามด้วยเนื้อปลา เต้าหู มะเขือเทศบด พริกขี้หนู ปั่นให้ละเอียด ตักใส่จาน หั่นมะเขือเทศเป็นชิ้นเล็กๆ ผสมกับพาร์สลี่ไว้สำหรับตกแต่ง รับประทานกับขนมปังปิ้ง
คุณค่าอาหาร: สารไลโคพีนซึ่งพบมากในมะเขือเทศ เมื่อทำงานร่วมกับวิตามินอี ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก สารไฟโตเอสโตรเจนจากเต้าหู้ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเต้านม วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันมะเร็ง


3. แกงกะหรี่ผัก
ส่วนผสม: กะหล่ำดอก 1/4 หัว บร็อกโคลี 1 หัว บรัซเซลสเปราท์ 8 หัว แอสพารากัส (หรือจะใช้ถั่วแขกก็ได้) 2 ก้าน ฟักทอง 200 กรัม หอมหัวใหญ่ 2 หัว กระเทียม 4 กลีบ น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ ผงแกงกะหรี่ 1 ช้อนโต๊ะ มะเขือเทศกระป๋องหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 800 กรัม น้ำซุปผัก 2 ถ้วย มะเขือเทศบดในกระป๋อง 2 ช้อนโต๊ะ เกลือหรือน้ำปลา 1 ช้อนชา ผักชีสับหยาบ 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: ตัดดอกกะหล่ำและบร็อกโคลีเป็นช่อเล็กๆ หั่นครึ่งบรัซเซลสเปราท์ ตัดยอดแอสพารากัสหั่นผ่ากลาง (ถ้าใช้ถั่วแขก เล็มปลายถั่วและหั่นครึ่งตามขวาง) หั่นฟักทองเป็นชิ้นพอดีคำ หั่นหอมหัวใหญ่เป็นแว่น ทุบกระเทียม ตั้งน้ำมันในกระทะเพื่อผัดผักทั้งหมด เริ่มจากผัดหัวหอมใหญ่และกระเทียมประมาณห้านาที ใส่ผงกะหรี่ ผัดต่อไปหนึ่งนาทีจนเริ่มหอม ใส่มะเขือเทศ น้ำซุปผัก มะเขือเทศบดและเกลือ ต้มต่อจนเดือด ใส่ฟักทอง ต้มต่อห้านาที ตามด้วยบร็อกโคลี บรัซเซลสเปราท์ แอสพารากัส ต้มต่ออีก 10-15 นาที หรือจนผักนุ่มขึ้น เสิร์ฟร้อนๆ แต่งหน้าด้วยผักชี
คุณค่าอาหาร: เบต้าแคโรทีนเป็นสารมีสีพบในผักสีเข้ม มีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม สารไลโคพีนเมื่อทำงานร่วมกับวิตามินอีช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก, สารอินโดล (พบในบร็อกโคลี) อาจช่วยป้องกันมะเร็งที่สัมพันธ์กับฮอร์โมน เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก, ไดอัลลิลซัลไฟด์ (มีในหอมหัวใหญ่) ช่วยเพิ่มระดับเอนไซม์ที่ต่อสู้กับมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งในกระเพาะอาหาร วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันมะเร็ง
เคล็ดลับ: การนำผักสดมาปรุงอาหารควรใช้วิธีนึ่ง ผักจะคงคุณค่าสารอาหารไว้ได้มากกว่าวิธีการลวก


เครื่องดื่ม Citrus Drink
ส่วนผสม: น้ำส้มเกรฟฟรุตคั้น 1/2 ถ้วย มะละกอหั่นชิ้น 1 ถ้วย น้ำส้มคั้น 1 ถ้วย น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย
วิธีทำ: ปั่นส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันให้ละเอียด รินใส่แก้วพร้อมดื่มคุณค่าอาหาร: เบต้าแคโรทีนมีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันมะเร็ง


ที่มา : ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ
http://www.bangkokhospital.com
http://www.bangkokhealth.com

22.8.52

เม็กซิโก...ทั้งจำทั้งปรับ...หากใช้ถุงพลาสติก

Wed August 19, 2009: Mexico City bans stores from distributing plastic bags

Story Highlights
Mexico City is Western Hemisphere's second large metro area to ban the bags
Move comes as leading environmentalists call for global ban
U.N. agency: Plastic bags are second-most common form of litter
Bags a major threat to ocean wildlife, U.N. agency says

MEXICO CITY, Mexico (CNN) -- Mexico City's thousands of stores went green Wednesday, as amended ordinances on solid waste now outlaw businesses from giving out thin plastic bags that are not biodegradable.

The law affects all stores, production facilities and service providers within the Federal District, which encompasses the city limits. Nearly 9 million people live inside the district and another 10 million reside in surrounding communities that make up greater Mexico City.

Mexico City becomes the second large metropolitan area in the Western Hemisphere to outlaw the bags. San Francisco in March 2007 enacted an ordinance that gave supermarkets six months and large chain pharmacies about a year to phase out the bags. Los Angeles is set to impose a ban if the state of California does not enact a statewide 25-cent fee per bag by July. About 90 percent of the bags used in the United States are not recycled.

Bans and other restrictions on plastic bags are in place in several countries. China has adopted a strict limit, reducing litter and eliminating the use of 40 billion bags, the World Watch Institute said, citing government estimates. Although compliance has been spotty, violation of the law carries a possible fine of 10,000 yuan ($1,463), World Watch said.

In Tanzania, selling the bags carries a maximum six-month jail sentence and a fine of 1.5 million shilling ($1,137). Mumbai, India, outlawed the bags in 2000 and cities in Australia, Italy, South Africa and Taiwan have imposed bans or surcharges. Ireland reported cutting use of the bags by 90 percent after imposing a fee on each one.

Don't Miss
Blog: Is Hong Kong eco-trendy or eco-serious?
Ocean trash problem 'far from being solved,' U.N. says

Some leading environmentalists are calling for a global ban on the bags. Achim Steiner, executive director of the United Nations Environment Program, says plastic bags are the second-most-common form of litter, behind cigarette butts. The bags are the greatest form of litter on the globe's oceans, the U.N. agency said in a recent report. The bags are also a major threat to ocean wildlife, causing the deaths of 100,000 sea turtles and other marine animals that mistake them for food.

"Thin-film, single-use plastic bags, which choke marine life, should be banned or phased out rapidly everywhere," Steiner said in June. "There is simply zero justification for manufacturing them anymore, anywhere."

Mexico City, which has had some of the worst air pollution in the world, also is looking at improving its environment in other ways. The municipal government announced this month it will place more than 1,100 bicycles at 84 stations throughout the city for residents to use. Officials said they hope to increase bicycle use as a form of transportation to 5 percent, up from the current 1.2 percent.
----------------------------------------------

ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สมาชิกสภากรุงเม็กซิโกซิตี้ ประเทศเม็กซิโก ผ่านร่างกฎหมายที่จะลงโทษเอาผิดกับเจ้าของร้านหรือผู้ประกอบการที่นำถุงพลาสติกใส่ของให้ลูกค้า ยกเว้นถุงพลาสติกที่ย่อยสลายเองตามธรรมชาติ ผู้ที่ฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษปรับ 77,400 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 2,786,400 บาท และจำคุก 1 วันครึ่ง โดยที่ผ่านมาชาวเมืองเม็กซิโกซิตี้จะใช้ถุงพลาสติก 288 ใบต่อคนต่อปี อย่างไรก็ตามร่างกฎหมายฉบับนี้จะต้องผ่านการลงนามโดยนายกเทศมนตรีก่อนจึงจะมีผลบังคับใช้ และทางสภาเมืองฯจะให้เวลาผู้ประกอบการธุรกิจต่าง ๆ ปรับตัวโดยการหาถุงชนิดอื่นที่เหมาะสมมาใช้เป็นเวลา 1 ปี

กรุงเม็กซิโกซิตี้ไม่ได้เป็นเมืองแรกที่ห้ามการใช้ถุงพลาสติก เพราะก่อนหน้านี้มีหลากเมือง หลายประเทศที่ออกกฎหมาย หรือประกาศห้ามใช้ถุงพลาสติก เช่น บังกลาเทศ ห้ามใช้ถุงพลาสติก จีนห้ามแจกถุงพลาสติกฟรี

ปีพ.ศ.2543 ไอร์แลนด์เป็น ผู้นำประเทศยุโรป จัดเก็บภาษีถุงพลาสติก ทำให้ปัจจุบันลดการใช้ ถึง 90%,

ปีพ.ศ.2548 รวันดา ห้ามใช้ถุงพลาสติก, อิสราเอล แคนาดา อินเดียตะวันตก บอตสวานา เคนยา แทนซาเนีย แอฟริกาใต้ ไต้หวัน และสิงคโปร์ ก็ห้ามและกำลังจะห้ามใช้ถุง พลาสติก,

ปี พ.ศ. 2550 ซานฟรานซิสโก เป็นรัฐแรกในสหรัฐอเมริกาที่ห้ามใช้ถุงพลาสติก, โอ๊กแลนด์ และบอสตัน ก็กำลังพิจารณาห้ามใช้ถุงพลาสติกเช่นกัน หลากหลายกลยุทธ์ในการพยายามกำจัดถุงพลาสติกให้หมดไป ไม่ว่าจะเป็นการใช้กฎหมายบังคับ การขึ้นภาษีถุงพลาสติก บางประเทศลูกค้าต้องควักจ่ายสูงหากต้องการถุงพลาสติกใส่สินค้าเมื่อเทียบกับการซื้อถุงผ้า แถมลูกค้าที่ใช้ถุงผ้ายังอาจได้ส่วนลดราคาสินค้าด้วย

7.8.52

บรูไนสร้างโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ใหญ่สุดในภูมิภาค

Solar power for Seria ‘Clean energy comes to oil town’. RESIDENTS in the oil town of Seria in the Belait District will enjoy the privilege of being the first in the country to be using solar energy as early as next year. This will be possible with the installation of a large, scale Photovoltaic system demonstration project called “Tenaga Suria Brunei” that is scheduled to be completed and commissioned by year 2010. The Memorandum of Understanding for the project was signed between the Energy Division at the Prime Minister’s Office and Mitsubishi Corporation in August 2008.
รัฐบาลบรูไนอยู่ระหว่างเร่งสร้างโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power Plant) ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งที่เป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมากที่สุดชาติหนึ่งของโลก ...โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ดังกล่าวชื่อ "เตเนกา ซูเรีย บรูไน" หรือพลังงานแสงอาทิตย์บรูไน เมื่อสร้างแล้วเสร็จภายในกลางปีหน้า จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ราว 1.2 เมกะวัตต์ หรือเทียบเท่าพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในบ้านเรือนมากราว 400 หลัง โดยกระแสไฟฟ้าจะถูกส่งเข้าระบบพลังงานไฟฟ้าร่วมแห่งชาติ เพื่อลดการพึ่งพาแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าจากน้ำมันดิบหรือก๊าซธรรมชาติ

โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากบริษัทเจแปน มิตซูบิชิ คอร์เปอเรชั่น ซึ่งสนับสนุนรัฐบาลบรูไนมายาวนานทั้งภาคพลังงานและภาคเกษตรกรรมนายโอซามุ อิโตะ ผู้จัดการใหญ่สาขามิตซูบิชิในบรูไน เปิดเผยว่า โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งนี้เริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่สัปดาห์นี้ แต่ไม่เปิดเผยงบประมาณก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม ศักยภาพของโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบรูไน จะลดการเผาผลาญน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติของประเทศลงได้มากถึง 340,000 ลิตร ทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซทำลายชั้นบรรยากาศโลกลงได้เฉลี่ยปีละราว 940 ตัน ทั้งนี้ แม้ว่าบรูไนถือเป็นชาติผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 4 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติรายใหญ่อันดับ 9 ของโลก แต่บรูไนยังต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรภายในประเทศเอาไว้ให้ยาวนานที่สุด

5.8.52

"จับจริงปรับจริง" ไม่หยุดรถ-ไม่ข้ามทางม้าลาย

(1 ส.ค. 2552) ตำรวจจะเริ่มเอาจริง "จับจริงปรับจริง" กับคนที่ไม่กระทำตามกฎหมาย รวมถึงรถยนต์ที่ไม่หยุดให้คนข้ามด้วย ซึ่งจะเริ่มจับกุมคนที่ไม่ข้ามทางม้าลาย 3 จุดนำร่อง คือ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แยกราชประสงค์ และถนนสีลม ซึ่งที่ผ่านมาตำรวจ บอกว่า ได้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบมาเป็นเวลานานกว่า 1 เดือน และถ้าหากว่าพรุ่งนี้พบว่ายังมีคนไม่ข้ามทางม้าลาย หรือว่าสะพานลอย จะถูกปรับไม่เกิน 200 บาท โดยทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของตำรวจว่า หากเป็นสตรีมีครรภ์ คนพิการ และผู้สูงสูงอายุจะกล่าวตักเตือน ส่วนรถที่ไม่หยุดให้คนข้ามทางม้าลาย จะถูกปรับขั้นต่ำ 500 บาท สำหรับหลักเกณฑ์ในการจับปรับ คนที่ไม่ข้ามทางม้าลาย หรือ สะพานลอย ต้องอยู่ในรัศมีห่างจากทางม้าลาย หรือ สะพานลอย 100 เมตร

นายจุมพล สำเภาพล ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) กรุงเทพมหานคร เปิดผยว่า กล่าวถึงการดำเนินงานโครงการรณรงค์วินัยจราจรให้ข้ามถนนในทางข้าม ว่า กทม.ร่วมกับตำรวจจราจรลงพื้นที่รณรงค์วินัยจราจรให้ผู้ใช้รถใช้ถนนและคนข้ามเคารพกฎและสัญญาณจราจรเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ทางร่วมกัน ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ โดยมีเจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายกทม.คือเทศกิจ และตำรวจจราจรลงพื้นที่รณรงค์ที่ถนนอโศกมนตรีไปเมื่อสัปดาห์ก่อน

โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน สำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนกระทำผิดกฎ จะถูกจับ-ปรับตามกฎหมาย โดยรถที่ไม่หยุดรถที่ทางม้าลายคนข้ามจะปรับ 500-1,000 บาท และในส่วนของคนข้ามนอกทางม้าลาย ปรับ 200 บาท โดยกทม.จะส่งเจ้าหน้าที่เทศกิจร่วมกับตำรวจจราจรตั้งจุดกวดขัน จับ-ปรับในบริเวณ ทางม้าลาย ทางร่วม ทางแยกต่างๆ เริ่มดำเนินการอย่างจริงจังตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2552 เป็นต้นไป

นอกจากนี้กทม.จะลงพื้นที่รณรงค์ในถนนอื่นๆ เพิ่มขึ้นให้ทั่วกทม.คาดว่าจะช่วยกระตุ้นสำนึกประชาชนให้มีวินัยจราจรเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ถนนร่วมกัน ส่วนปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายที่ยังไม่ครอบคลุมทั่วถึงตลอดเวลาอาจเพราะเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ หรือ ตรวจตราไม่ต่อเนื่องตลอดเวลาทำให้ยังคงมีประชาชนละเลยวินัยอยู่นั้น ก็เป็นหน้าที่ของตำรวจจราจรที่จะหาแนวทางที่เหมาะสมซึ่งกทม.ก็ยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่

ความคิดเห็น: ดีใจจังที่กรุงเทพเริ่มมีทิศทางการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แต่โครงการดีๆแบบนี้ไม่ควรจะหยุดไว้แค่ในกรุงเทพ ทั่วประเทศเลยนะจะใช้ให้ทั่ว เพื่อให้สังคมไทยน่าอยู่มากยิ่งขึ้น ร่วมกันรับผิดชอบ เห็นอกเห็นใจผู้ใช้ถนน โดยเฉพาะผู้ที่อ่อนแอกว่า คนแก่ คนชรา จักรยาน เป็นต้น

5.6.52

วันนี้ไปบริจาคเลือดมา... ครั้งแรกเลย

สุขภาพดีด้วยการบริจาคโลหิต
นอกจากความภูมิใจที่ได้แบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่นโดยทางอ้อมแล้ว เชื่อไหมว่าการบริจาคเลือดยังช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย เลือดประกอบด้วยพลาสมา (น้ำเหลือง) และเม็ดเลือด คิดเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว คือ 5-6 ลิตรสำหรับผู้ชาย และ 4-5 ลิตรสำหรับผู้หญิง หรือประมาณ 17-18 แก้วน้ำ ไขกระดูกเป็นอวัยวะตั้งต้นที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือด 3 ชนิด อันได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด เพื่อทำหน้าที่แตกต่างกันไปในร่างกาย
เม็ดเลือดแต่ละชนิดจะมีอายุการทำงานที่ชัดเจนคือ เม็ดเลือดแดงมีอายุ 120 วัน เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดมีอายุ 5-10 วัน เมื่อถึงเวลาที่กำหนด เม็ดเลือดจะถูกทำลายและขับถ่ายออกมาในรูปของเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ หลังจากนั้นไขกระดูกจึงสร้างเซลล์เม็ดเลือดชุดใหม่ขึ้นมาทดแทนได้โดยไม่มีวันหมด ปริมาณเลือดที่มีในร่างกายเป็นปริมาณที่ถูกสร้างขึ้นมาให้เกินกว่าความต้องการใช้ที่แท้จริง เพราะร่างกายต้องการใช้เพียง 15-16 แก้วน้ำเท่านั้น ส่วนเลือดอีก 2-3 แก้วน้ำเป็นปริมาณสำรองเพื่อรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ดังนั้นการบริจาคเลือดซึ่งนำเลือดออกมาประมาณ 350-450 มิลลิลิตร จึงเป็นการนำเลือดสำรองออกมาโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ แก่ร่างกาย เพราะไขกระดูกจะสร้างเลือดขึ้นมาทดแทนปริมาณที่ถูกถ่ายเทออกไป ทำให้เกิดประโยชน์โดยทางอ้อมคือ
ร่างกายได้เม็ดเลือดใหม่ ซึ่งแข็งแรงและทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่า ทำให้เม็ดเลือดแดงลำเลียงออกซิเจนได้เต็มที่ เม็ดเลือดขาวทำลายสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น และเกล็ดเลือดซ่อมแซมรอยฉีกขาดในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

กระตุ้นการทำงานของไขกระดูก เปรียบเหมือนการออกกำลังกายให้กับไขกระดูกได้ทำงานดีขึ้น

ได้ตรวจสุขภาพทางอ้อม เพราะเมื่อมีการได้รับเลือดแล้ว ทางสภากาชาดจะต้องตรวจความสมบูรณ์ของเลือด ตรวจหาภาวะติดเชื้อต่างๆ เท่ากับผู้บริจาคได้รู้ภาวะสุขภาพของตนเองในขณะนั้นด้วย

ลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน การวิจัยในประเทศฟินแลนด์พบว่า การบริจาคโลหิตช่วยลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันในเพศชายได้ถึง 88 เปอร์เซ็นต์ เพราะโรคนี้มีความสัมพันธ์กับปริมาณธาตุเหล็กที่สะสมในร่างกาย หากมีสะสมมาก โอกาสเสี่ยงย่อมสูง เนื่องจากธาตุเหล็กส่งผลให้ไขมันทำปฏิกิริยาออกซิเจนจนหลอดเลือดตีบและกลายเป็นอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน การบริจาคเลือดจึงช่วยให้ร่างกายลดภาวการณ์สะสมธาตุเหล็ก ซึ่งเท่ากับลดความเสี่ยงโรคหัวใจลงด้วยนั่นเอง การบริจาคเลือดทุก 3 เดือน จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะช่วยให้คุณมีสุขภาพดีขึ้นได้ด้วยตนเอง
ที่มา : นิตยสาร HEALTH & CUISINE ปีที่ 4 ฉบับที่ 47 ธันวาคม 2547 หน้า 32

4.6.52

กระท้อนหวาน อร่อย

ณ โรงเรียนชนบทที่อยู่ใกล้ สวนมะพร้าว และสวนกระท้อน ครูนิดเป็นคนชอบทานกระท้อนมาก ๆ และด.ญ.คำหล้าเป็นเด็กที่ทุบกระท้อนเก่งมาก จนครูนิดต้องให้ทุบกระท้อนให้ทานทุกๆ วัน
แล้ววันหนึ่งครูนิดก็พูดเหมือนเดิมว่า
ครูนิด "ด.ญ.คำหล้าวันนี้ช่วยทุบกระท้อน ให้ครูสัก 3 ลูกนะ"
ด.ญ.คำหล้า "วันนี้ครูนิดให้หนูทำอย่างอื่นแทนได้ไหมค่ะ"
ครูนิด "ทำไม เธอทุบกระท้อนหวานอร่อยดีครูชอบ"
ด.ญ.คำหล้า "หนูก็อยากทำให้ครูนะคะ แต่วันนี้ตอนมาโรงเรียนหนูเดินไม่ทันระวังแก้วมันบาดส้นเท้าหนูค่ะ"
ครูนิด !!!!!!!!!!!!!!!!??????????

ยายกับหลาน คนละเรื่องเดียวกัน

คุณตัว นางหนึ่งอาศัยอยู่กับยาย ตอนเย็นๆก็จะออกไปทำงาน โดยคุณยายไม่รู้ว่าหลานสาวทำงานอะไร เย็นวันหนึ่งตำรวจออกทำการกวาดล้าง และจับคุณตัว สาวๆได้หลายสิบคน คุณตัวหลานยายก็โดนจับไปกับเขาด้วย ตำรวจจัดแจงให้คุณตัวเข้าแถวเรียงกัน เพื่อขึ้นรถไปโรงพัก
บังเอิญคุณยายจะไปซื้อของที่ตลาด เดินผ่านมาเห็นพอดีเลยถามหลานสาวว่า "อีหนูมาเข้าแถวทำอะไรอยู่นี่?" ด้วยความอายและไม่อยากให้ยายรู้ หลานสาวเลยตอบว่า "อ๋อ กำลังเข้าแถวรอแจกส้มเขียวหวานน่ะยาย" คุณยายเห็นว่าของฟรีแบบนี้ไม่ควรพลาด เลยเข้าไปต่อแถวเป็นคนสุดท้าย
สักพักตำรวจที่เดินจดบันทึกประวัติคุณตัว ไล่มาจากหัวแถวก็มาถึงคุณยายท้ายแถว "ยาย...ยายแก่ปูนนี้แล้วยังไหวอีกเหรอ ยายทำได้ยังไงเนี่ย" ตำรวจถามด้วยความงุนงงสงสัย ยายตอบว่า "ไม่เห็นจะยากเลยพ่อหนุ่ม ยายก็แค่ถอน ฟันปลอมออกแล้วก็ ดูดๆ อมๆ จนน้ำแห้ง แค่นี้ก็เรียบร้อย" "??!!"

คนไทยฉลาดกว่าคนฝรั่งเยอะ

มีคนไทยอยู่ 1 คน พึ่งเรียนจบมาใหม่ๆได้ทำงานในบริษัทซึ่งเป็นของต่างชาติในทุกวันเขาก็ทำงาน เหมือนเดิมทุกวัน แต่.... มีอยู่มาวันหนึ่ง เขาได้เข้าห้องน้ำในบริษัทแล้วไปเจอ คนฝรั่ง2 คน อยู่ในห้องน้ำ ซึ่งกำลังล้างมือ หลังจาก ฉี่เสร็จ และพอฝรั่ง 2 คนนั้นเห็นคนไทย ทั้ง2คน จึงคุยข่มคนไทย ว่า....

ฝรั่งคนที่ 1 "นายเรียนจบที่ไหนว่ะ"ฝรั่งคนที่ 2 "เราเรียนจบที่ OXFORD " (ทันใดนั้น ฝรั่งคนที่ 2 ก็ควักน้ำล้างมือมาถึงข้อศอก) ฝรั่งคนที่ 1 เห็นก็งงแล้วถามว่า "ทำไมต้องล้างมือถึงข้อศอกด้วย"ฝรั่งคนที่ 2 ตอบว่า " ที่อังกฤษเขาสอน ให้ล้างอย่างนี้ เพราะ ตอนฉี่ ฉี่อาจกระเด็นมาถึงแขนก็ได้ ต้องระวังไว้ก่อน"(ทันใดนั้น ฝรั่งคนที่1 ก็ควักน้ำมาล้างมือ เฉพาะ ที่มือ แล้วหาไม้มา แคะขี้เล็บออก) ฝรั่งคนที่ 2 เห็นก็ถามว่า " นายจบจากที่ไหน"ฝรั่งคนที่ 1 ตอบว่า "เราจบจาก STAMFORD ที่นั่นเขาสอนให้ล้างมือเฉพาะที่สกปรก แล้วก็ แคะขี้เล็บออก เพื่อป้องกันเชื้อโรค"
ฝรั่ง 2 คนเห็นคนไทยฉี่อยู่ พอคนไทยฉี่เสร็จ ก็เดินออกจากห้องน้ำเลย ฝรั่งทั้ง 2 คนเห็นก็ตกใจว่าทำไมไม่ล้างมือ เลยวิ่งไปถามคนไทย ว่า "นายจบจากไหน ทำไมถึงไม่ล้างมือ" คนไทยตอบว่า "จบราม รามไม่สอนให้ฉี่รดมือตัวเอง"

19.4.52

ถึงเวลาแล้ว ที่ต้องเสียสละ... อย่ายึดติดอีกต่อไป

ถ้าพิจารณาดูจะเห็นว่า เรามีแต่ความทุกข์กับสิ่งต่างๆที่เรามีอยู่ทั้งสิ้น ความสุขที่ได้รับจากสิ่งเหล่านั้น เป็นเพียงความสุขเล็กๆน้อยๆ และเมื่อได้สัมผัสแล้วไม่นาน ก็เกิดความชินชาจนไม่เห็นความสุขของสิ่งนั้นๆเหลืออยู่เลย มีแต่ความหวง ความห่วง ความยึดติดอยู่ในสิ่งนั้นๆ ทำให้เกิดความคับแค้นใจ ความวุ่นวายใจ ไม่รู้จักจบจักสิ้น ไม่เชื่อลองพิจารณาดู ทุกวันนี้ทุกข์กับอะไร ก็ทุกข์กับสมบัติที่มีอยู่นั่นแหละ ทุกข์กับครอบครัว ทุกข์กับสามี ทุกข์กับภรรยา ทุกข์กับลูกเต้า ทุกข์กับทรัพย์สมบัติต่างๆที่มีอยู่ เพราะเมื่อมีสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็ต้องคอยดูแลรักษา ทำให้ไม่รู้จักพึ่งตัวเอง ไม่รู้จักอยู่โดยปราศจากสิ่งเหล่านี้ ทั้งๆที่สามารถอยู่ได้โดยที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้ ไม่มีสามี ไม่มีภรรยา เราก็อยู่ได้ ไม่มีลูก เราก็อยู่ได้ ไม่มีสมบัติมากมายก่ายกองเกินความจำเป็น เราก็อยู่ได้ แต่เราไม่เคยอยู่แบบนั้นเลย เพราะว่าตลอดเวลาภายในหัวใจของเรา มีแต่ความหลง มีแต่ความโง่เขลาเบาปัญญา คอยหลอกให้เรากลายเป็นคนพิการไป คือไม่ให้พึ่งตัวเราเอง ไม่ให้เราหาความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ในตัวของเรา ไม่ให้มีความมักน้อยสันโดษ มีความพอใจยินดีกับสิ่งที่มีอยู่ กลับสร้างความหิวกระหาย ความอยาก ให้เกิดขึ้นตลอดเวลา จึงทำให้เราต้องดิ้นรนออกไปหาสิ่งต่างๆภายนอกตัวเรา ไปหาสมบัติข้าวของ หาบุคคลต่างๆ เพราะคิดว่าเมื่อได้สิ่งเหล่านี้แล้ว จะมีความสุข จะไม่มีความทุกข์กัน แต่เมื่อมีแล้ว ก็มีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความกังวล เพราะเมื่อมีแล้ว ก็อาศัยสิ่งเหล่านี้ไว้ให้ความสุขเล็กๆน้อยๆกับเรา แต่ในขณะเดียวกัน เราก็กลายเป็นคนพิการไป ถ้าเกิดวันใดวันหนึ่งไม่มีสิ่งที่เคยมี เคยใช้อยู่ ก็จะมีความทุกข์อย่างมาก บางครั้ง บางคนอาจจะทนอยู่ไม่ได้ เมื่อไม่มีสิ่งเหล่านั้น ถึงกับทำร้ายชีวิตของตนไปในที่สุด ก็เพราะปล่อยตัวเองให้ไปยึดไปติด ไปพึ่งพาอาศัยสิ่งภายนอกมาให้ความสุขกับตนนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เวลาไม่มีสิ่งเหล่านั้นมาให้ความสุข ก็เกิดความทุกข์ จนทนอยู่ต่อไปไม่ได้
แต่ถ้าได้ศึกษา ได้ยินได้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งทรงสอนว่า ความสุขที่ประเสริฐ ความสุขที่เลิศนั้น อยู่ในตัวของเราแล้ว อยู่ในใจที่สงบ ใจจะสงบได้ ก็จะต้องปล่อยวาง ไม่ไปพึ่งพาอาศัยสิ่งต่างๆภายนอก ยกเว้นสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ก็คือปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ เป็นสิ่งที่ต้องมี ถ้าไม่มีแล้วร่างกายนี้ ชีวิตนี้ ย่อมอยู่ไปไม่ได้ แต่ความจำเป็น คือความต้องการของร่างกายในปัจจัย ๔ ก็มีไม่มาก เราก็รู้ๆกันอยู่ ถ้ารู้จักความมักน้อยความสันโดษแล้ว ก็จะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปดิ้นรนหาปัจจัย ๔ มาเกินความจำเป็น ให้เหนื่อยยากไปเปล่าๆ เพราะอาหารก็ดี ที่อยู่อาศัยก็ดี เครื่องนุ่งห่มก็ดี ยารักษาโรคก็ดี ไม่จำเป็นจะต้องเป็นของราคาแพงๆ ถึงจะมีคุณค่ากับร่างกาย อาหารก็มาจากที่เดียวกัน มาจากตลาด แล้วก็เอามาทำให้เรารับประทาน ราคาจะสูงหรือต่ำก็อยู่ที่สถานที่ที่นำมาขาย ถ้าไปกินอาหารในร้านที่มีการตกแต่ง มีค่าใช้จ่ายสูง อาหารก็จะแพง ถ้าไปซื้ออาหารมาทำรับประทานที่บ้าน ก็เป็นอาหารเหมือนกัน เมื่อรับประทานเข้าไปก็ให้ความอิ่ม รักษาชีวิตให้อยู่ได้ต่อไปเหมือนกัน ความแตกต่างกันอยู่ตรงที่ราคา ถ้าของหรูหราก็ต้องเสียเงินมาก แล้วเงินก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่งอกมาจากตัวเรา เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องออกไปหากัน เมื่อใช้มาก ก็ต้องหามาก ก็ต้องเหนื่อยมาก ถ้าใช้น้อยก็ไม่ต้องดิ้นรนมาก เราก็หามาน้อยๆพอใช้เท่าที่จำเป็น ปัญหาต่างๆที่เกิดจากการออกไปทำมาหากินก็มีไม่มาก ความสุขกลับมีมากกว่า ความสุขทางจิตใจของคนที่ใช้เงินน้อย จะมีมากกว่าของคนที่ใช้เงินมาก เพราะคนใช้เงินน้อยไม่มีความกดดัน ที่จะต้องคอยไปหาเงินมามากๆ มีอะไรก็ใช้ไปตามมีตามเกิด อย่างนี้มีความเบาใจ มีความสบายใจ มีความสุขใจ นี่แหละคือความสุขที่แท้จริง อยู่ที่ใจของเรา อยู่ที่การกระทำของเรา อยู่ที่ว่ารู้จักสร้างความสุขให้กับใจหรือไม่ ส่วนใหญ่มักจะไปสร้างความทุกข์ให้กับใจด้วยความหลง ทำให้เกิดความอยากความโลภ คิดว่าถ้ามีอะไรมากๆแล้ว จะมีความสุขมาก แต่ไม่เคยหันมาดูที่ใจเลยว่า วันๆหนึ่งใจมีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความกังวล มีแต่ความห่วงใย กินไม่ได้นอนไม่หลับ เศรษฐีบางคนมีเงินทองเยอะแยะ สามารถซื้ออาหารราคาแพงๆมารับประทานได้ แต่ใจกลับไม่มีความสุขกับการรับประทานอาหารนั้นเลย เพราะในขณะที่รับประทานไป ก็มีแต่ความกังวล ห่วงเรื่องดอกเบี้ยบ้าง เรื่องหนี้ที่จะต้องจ่ายบ้าง เรื่องเงินลูกหนี้ที่จะต้องไปตามเก็บบ้าง ล้วนแต่เป็นปัญหาคาราคาซังอยู่ภายในใจ สู้คนยากจนอย่างพระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวกไม่ได้ ท่านไม่มีปัญหาเหล่านี้อยู่ในใจของท่านเลย เพราะท่านไม่มีลูกหนี้ ไม่มีเจ้าหนี้ ไม่มีดอกเบี้ยที่จะต้องคอยมากังวล ที่จะต้องคอยผ่อนส่ง วันๆหนึ่งใจของท่านมีแต่ความว่าง เพราะไม่มีสมบัติอะไร ไม่มีเรื่องราวอะไร ที่จะต้องไปห่วง ไปกังวล วันๆหนึ่งก็เพียงแต่มีหน้าที่ดูแลร่างกาย ตอนเช้าก็ออกไปบิณฑบาตหาอาหารมา ตามมีตามเกิด ได้อะไรก็พอใจกับที่ได้มา ก็รับประทานไป ก็อิ่มเหมือนกัน แต่ใจของท่านซิเป็นใจที่เบา เป็นใจที่สุข เป็นใจที่ว่างจากความทุกข์ทั้งปวง เพราะใจได้ถูกชำระด้วยปัญญาแล้ว ปัญญานี้แหละคือสิ่งที่จะมาทำลายมลทิน ความสกปรก ความเศร้าหมองที่เกิดจากกิเลสตัณหาทั้งหลาย พวกเราแทนที่จะทำตามอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทำ และได้ทรงปฏิบัติมาแล้ว กลับไม่ได้ทำกัน กลับไปส่งเสริมความเศร้าหมอง ส่งเสริมความสกปรกในใจให้มีมากยิ่งขึ้นไป ด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ด้วยความอยากต่างๆ
ขอให้จำไว้ว่า ทุกครั้งที่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง มีความอยาก ไม่ว่าจะเป็นความอยากในกาม ความอยากมีอยากเป็น หรือความอยากไม่มีอยากไม่เป็นก็ตาม ก็เท่ากับว่ากำลังสร้างขยะ สร้างความสกปรกให้มีมากขึ้นไปในใจ ใจก็จะมีความทุกข์มีความเศร้าหมองเพิ่มมากขึ้นไป ทั้งๆที่ได้เงินเพิ่มขึ้นมาอีก ๑๐ ล้าน อีก ๑๐๐ ล้าน มีสามี มีภรรยาเพิ่มขึ้นอีก ๔-๕ คนก็ตาม แต่ใจกลับมีความเศร้าหมองเพิ่มมากขึ้นไปอีก มีความกังวล มีความวุ่นวายใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับเพิ่มมากขึ้นไปอีก เพราะกำลังสร้างความทุกข์ให้กับใจโดยไม่รู้สึกตัว ทั้งๆที่คิดว่ากำลังสร้างความสุขให้กับตน แต่กลับมีแต่ความทุกข์ ความวุ่นวายใจ ถ้าไม่เชื่อ ลองเปรียบเทียบดูระหว่างเรากับพระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวกทั้งหลาย ท่านมีอะไรบ้าง ท่านไม่มีอะไรเลย ในเรื่องสมบัติภายนอก ไม่ว่าจะเป็นสามีภรรยา สมบัติต่างๆ ตำแหน่งต่างๆ ไม่มีอะไรเลย มีสมบัติอยู่เพียง ๘ ชิ้น ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของสมณะเท่านั้น คือมีผ้าไตรจีวร ๓ ผืน บาตรใบหนึ่ง ประคดเอว มีดโกน เข็มกับด้าย และที่กรองน้ำ นี่คือสมบัติที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของพระ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ท่านอยู่ได้แล้ว ด้วยความสุข ด้วยความเบาใจ ด้วยความสบายใจ เพราะใจของท่านไม่มีภาระ ไม่มีความผูกพันกับอะไรทั้งสิ้น เพราะไม่ว่าจะมีอะไร ในไม่ช้าก็เร็ว ก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งต่างๆที่มีอยู่ทั้งสิ้น เพราะธรรมชาติของชีวิตเป็นอย่างนั้น เราก็เห็นกันอยู่ เวลาเกิด ก็มาตัวเปล่าๆ เมื่อไปก็ไปตัวเปล่าๆ คือใจมาครอบครองร่างกาย เมื่อตายไปใจก็ทิ้งร่างกายนี้ไป ทิ้งสมบัติ ทิ้งบุคคลต่างๆไปหมด ไม่ได้เอาอะไรไปเลยนอกจากบุญกับบาปเท่านั้น บุญก็คือความฉลาดหรือปัญญา บาปก็คือความโง่เขลาเบาปัญญานั่นเอง ถ้ายังไม่เข้าใจหรือยังไม่เห็น ก็ต้องรีบขวนขวายศึกษา แล้วปฏิบัติตาม อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ปฏิบัติมา คือพยายามลดละ ตัดกิเลสตัณหาทั้งหลายให้เบาบางลงไป ให้หมดสิ้นไป เมื่อทำได้แล้ว จะเห็นความสุขที่แท้จริง ที่ปรากฏขึ้นมาภายในใจ เรียกว่าปัญญา ความสว่าง ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อนำธรรมไปปฏิบัติ เพียงแต่ได้ยินได้ฟังอย่างวันนี้ แล้วก็ไม่ได้นำไปปฏิบัติ ก็ยังจะไม่เห็นผลของการเสียสละ ของการปล่อยวาง ถ้าลองไปปฏิบัติดู ในเบื้องต้นอาจจะยากหน่อย เพราะเป็นสิ่งที่ฝืนกับนิสัยใจคอ แต่ไม่สุดวิสัย ถ้ามีความเข้มแข็ง มีความอดทนต่อสู้ ในไม่ช้าก็เร็ว ก็จะสามารถปฏิบัติตามอย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอน ได้ทรงปฏิบัติมา เมื่อทำได้แล้วก็จะเห็นผล คือความสุข ความเบาใจที่จะปรากฏขึ้นมาในใจ ก็จะรู้ทันทีเลยว่า เรานี้โง่เขลาเบาปัญญามาตั้งนาน มัวแต่หลงแบกกองทุกข์ แบบไม่รู้จักจบจักสิ้น แต่เดี๋ยวนี้รู้แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ต้องการอะไรแล้ว ในเรื่องสมบัติภายนอก บุคคลภายนอก อยู่ได้โดยลำพัง แม้ไม่มีร่างกายนี้ ก็อยู่ได้ เพราะเห็นใจแล้ว รู้แล้วว่าใจกับร่างกายเป็นคนละส่วนกัน ต่างฝ่ายต่างจริง ใจไม่ต้องพึ่งอะไรเลย จึงสละได้หมดแม้แต่ชีวิต

เริ่มต้นชีวิตคู่ เพื่อความเท่าเทียม ความสงบสุขของมวลมนุษยชาติ และสิ่งแวดล้อม

http://ae-ja.blogspot.com/2009/03/blog-post.html เรื่องและภาพโดย น้องเอ๋ http://runwitme.blogspot.com/2009/03/runwitmes-guide-to-traditional-thai_14.html เรื่องและภาพโดย Lim เพื่อนนักวิ่งชาวมาเลเซีย

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2552 เมื่อต้องเริ่มต้นชีวิตคู่กับใครสักคน เมื่อคนสองคนที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรมและประเพณี และในอีกๆหลายอย่าง แต่เราตัดสินใจมาใช้ชีวิตคู่ จะว่าไปแล้วเราสองคนก็ต้องมีบางสิ่งที่เหมือนกันอยู่บ้าง แต่ในความเหมือนนั้นเราก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเราจะไปด้วยกันมากน้อยแค่ไหน... แต่สิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ครั้งนี้ คือ การเสียสละ เสียสละความสุขส่วนตัวที่จะนำมาซึ่งเป้าหมายนั่นก็คือ เพื่อความเท่าเทียม ความสงบสุขของมวลมนุษยชาติ และสิ่งแวดล้อม นั่นคือสิ่งที่เราตั้งความหวังไว้

28.2.52

Contribute member countries to develop Indicators National Guidelines: Thailand

จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อจัดทำคู่มือการเก็บข้อมูลของตัวชี้วัดทางการประมงในประเทศไทย โดยเป็นนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจากกรมประมง และเจ้าหน้าที่กองการจัดการประมงชายฝั่งของศูนย์พัฒนาการประมงแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วัตถุประสงค์ในการประชุมครั้งนี้ คือ1) เพื่อสรุปรูปแบบคู่มือและมาตรฐานการเก็บข้อมูลจัดทำคู่มือการเก็บข้อมูลตัวชี้วัดทรัพยากรประมง2) เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ปัญหาที่พบจากการนำสมุดบันทึกข้อมูล (log sheet) ไปทดลองใช้3) เพื่ออภิปรายหารูปแบบ และ ปรับปรุงเนื้อหาของสมุดบันทึกข้อมูลการเก็บตัวอย่าง (log sheet) เพื่อใช้ประโยชน์ในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มเรือประมงพาณิชย์ เรือประมงพื้นบ้าน และให้กลุ่มผู้ใช้ทรัพยากรได้มีส่วนร่วมในการกรอกข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็น และ4) เพื่อให้ที่ประชุมยอมรับในรายละเอียดของข้อมูลเพื่อที่จะใช้เป็นแนวทางในการเก็บข้อมูลและจัดทำคู่มือการเก็บข้อมูลของตัวชี้วัดเพื่อที่จะใช้เป็นมาตรฐานการเก็บข้อมูลให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันทั่วประเทศ

ที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นพูดคุยถึงปัญหาและประสบการณ์จากการทดลองใช้แบบสัมภาษณ์และ แบบสอบถาม (log sheet) ที่เป็นผลจากการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อการจัดเก็บข้อมูลและจัดทำเป็นคู่มือการเก็บข้อมูลของตัวชี้วัดจากเรือประมงพาณิชย์ในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 5-7 สิงหาคม 2551 และ การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อการจัดเก็บข้อมูลและจัดทำเป็นคู่มือการเก็บข้อมูลของตัวชี้วัดจากเรือประมงพื้นบ้านในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 13-15 สิงหาคม 2551 รวมถึงเนื้อหาของแบบสัมภาษณ์ที่ใช้ในการเก็บข้อมูล หลังจากได้มีการอภิปรายพูดคุยโดยรวมแล้วผู้เข้าร่วมประชุมแบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยทำการอภิปรายเพื่อปรับปรุงแก้ไขและสรุปเนื้อหาแบบฟอร์มหรือสมุดบันทึกข้อมูล (log sheet) ในส่วนของกลุ่มเรือประมงพาณิชย์ (อวนลากและอวนล้อมจับ) และกลุมประมงพื้นบ้าน (อวนลอย ลอบ และอวนและแหครอบ) ให้มีความเหมาะสมสำหรับนักวิชาการที่สามารถนำไปใช้ได้จริงโดยพิจารณาจากผลการนำไปทดลองใช้
หลังจากได้ทำการปรับปรุงแก้ไขในเนื้อหาของแบบฟอร์มหรือสมุดบันทึกข้อมูล (log sheet) เรียบร้อยแล้ว ต่อจากนั้นได้เปิดการอภิปรายรวมอีกครั้งโดยร่วมกันอภิปรายในเนื้อหาเพิ่มเติมที่จะนำมาประกอบเป็น คู่มือการเก็บข้อมูลของตัวชี้วัดทางการประมงในประเทศไทย และนี่คือหนึ่งในผลงานของเรา

16.2.52

ขึ้นโขนชิงธง ณ สนามแม่น้ำหลังสวน อ.หลังสวน จ.ชุมพร

งานประเพณี แห่พระแข่งเรือ “ขึ้นโขนชิงธง”
"มรดกวัฒนธรรมแห่งลุ่มน้ำหลังสวน" ณ สนามแม่น้ำหลังสวน อ.หลังสวน จ.ชุมพร

ช่วงเวลา เริ่มงานวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ (วันออกพรรษา) ของทุกปี หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "วันมหาปวารณา" คำว่า"ปวารณา"แปลว่า "อนุญาต" หรือ "ยอมให้" คือ เป็นวันที่เปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ด้วยกัน ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ในข้อที่ผิดพลั้งล่วงเกินระหว่างที่จำพรรษาอยู่ด้วยกัน ในวันออกพรรษานี้กิจที่ชาวบ้านมักจะกระทำก็คือ การบำเพ็ญกุศล เช่น ทำบุญตักบาตร จัดดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาพระที่วัด และฟังพระธรรมเทศนา ของที่ชาวพุทธนิยมนำไปใส่บาตรในวันนี้ก็คือ ข้าวต้ม มัดไต้ และข้าวต้มลูกโยน และการร่วมกุศลกรรมการ "ตักบาตรเทโว" คำว่า "เทโว" ย่อมาจาก"เทโวโรหน" แปลว่าการเสด็จจากเทวโลกการตักบาตรเทโว จึงเป็นการระลึกถึงวันที่ พระพุทธองค์เสด็จกลับจากการโปรด พระพุทธมารดาในเทวโลก ประเพณีการทำบุญกุศล เนื่องในวันออกพรรษานี้ ทุกวัดในประเทศไทย ก็มีพิธีเหมือนกันหมด

งานประเพณีแห่พระแข่งเรือ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร จัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรม เพื่อสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในชุมชน และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น แสดงถึงความสามัคคีและความพร้อมเพรียงที่แสดงออกในรูปของการกีฬา และเป็นการสืบทอดประเพณีอันยาวนานของท้องถิ่น โดยเฉพาะการขึ้นโขนชิงธง ที่นายท้ายเรือต้องถือท้ายเรือให้ตรงเพื่อให้นายหัวเรือคว้าธงที่ทุ่นเส้นชัย โดยการขึ้นโขนเรือ

การแข่งเรือของอำเภอหลังสวนเริ่มมีครั้งแรกในสมัยพระยาจรูญราชโภคากร เป็นเจ้าเมืองหลังสวน เมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีเศษ ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๕ (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เป็นการลากพระชิงสายกันในแม่น้ำ โดยใช้เรือพายเป็นเรือดึงลากแย่งกัน วัด หรือหมู่บ้านใดมีเรือมากฝีพายดี ก็แย่งพระไปได้ อัญเชิญพระไปประดิษฐานไว้ในวัดที่ตนต้องการ มีงานสมโภชอย่างสนุกสนานในตอนกลางคืน รุ่งเช้าถวายสลากภัต ต่อมาสมัยหลวงปราณีประชาชน อำมาตย์เอก ได้ดัดแปลงให้มีสัญญาณในการปล่อยเรือโดยใช้เชือกผูกหางเรือคู่ที่จะแข่ง ให้เรือถูกพายไปจนตึงแล้วใช้มีดสับเชือกที่ผูกไว้ให้ขาด

ลักษณะของเรือที่ใช้แข่งในปัจจุบันขุดจากไม้ซุง (ตะเคียน) ทั้งต้น ยาวประมาณ ๑๘-๑๙ เมตร มีธงประจำเรือติดอยู่ เรือแข่งจะแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ฝีพาย ๓๐ คน และฝีพาย ๓๒ คน ฝีพายจะนั่งกันเป็นคู่ ยกเว้นนายหัวกับนายท้าย เรือแต่ละลำจะมีฆ้องหรือนกหวีดเพื่อตีหรือเป่าให้จังหวะฝีพายได้พายอย่างพร้อมเพรียงกัน
รางวัลสำหรับการแข่งขันในสมัยก่อน เรือที่ชนะจะได้รับผ้าแถบหัวเรือ ส่วนฝีพายจะได้รับผ้าขาวม้าคนละผืน ต่อมาเป็นการแข่งขันชิงน้ำมันก๊าด เพื่อนำไปถวายวัด เพราะเรือส่วนใหญ่เป็นเรือของวัด และตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ เป็นต้นมา เป็นการแข่งขันเพื่อชิงโล่พระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกติกาการปล่อยเรือและการเข้าเส้นชัยมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพการณ์ เช่น ในปัจจุบันมีการแบ่งสายน้ำโดยการจับสลาก กำหนดระยะทางที่แน่นอน คือ ๕๐๐ เมตร มีเรือเข้าร่วมแข่งขันทั้งเรือในท้องถิ่นจังหวัดชุมพรเอง และเรือจากต่างจังหวัด





13.2.52

เที่ยว จ.สุโขทัย อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและศรีสัชนาลัย

สุโขทัยเป็นที่ตั้งอาณาจักรแรกของชนชาติไทยเมื่อกว่า 700 ปีที่แล้ว "สุโขทัยดินแดนรุ่งอรุณแห่งความสุข" รอยอดีตแห่งความรุ่งเรือง เห็นได้จากอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) จังหวัดสุโขทัย เป็นจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศให้ความสนใจเข้ามาเยี่ยมชมอย่างต่อเนื่อง นอกจากเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญแล้ว ยังเป็นดินแดนแห่งความทรงจำ ดินแดนแห่งความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ สมดังคำขวัญที่ว่า "มรดกโลกล้ำเลิศ กำเนิดลายสือไทย เล่นไฟลอยกระทง ดำรงพุทธศาสนา งามตาผ้าตีนจก สังคโลกทองโบราณ สักการแม่ย่า พ่อขุน รุ่งอรุณแห่งความสุข"

จังหวัดสุโขทัยมี พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม โดยตอนเหนือเป็นที่ราบสูงมีภูเขาเป็นพืดยาวมาทางทิศตะวันตก พื้นที่ตอนกลางเป็นที่ราบและตอนใต้เป็นที่ราบสูง มีแม่น้ำไหลผ่านจากเหนือลงใต้ โดยผ่านพื้นที่ อ.ศรีสัชนาลัย อ.สวรรคโลก อ.ศรีสำโรง อ.เมืองสุโขทัย และ อ.กงไกรลาศ เป็นระยะทางประมาณ 170 กิโลเมตร จังหวัดสุโขทัยมีภูเขาที่สูงที่สุด คือ เขาหลวง ซึ่งยอดเขามีความสูง 1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเล

อุทยานที่น่าท่องเที่ยวใน จ.สุโขทัย ได้แก่ อุทยานแห่งชาติรามคำแหง อุทยานแห่งชาติศรีสัชนาลัย อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย


อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ครอบคลุมพื้นที่โบราณสถานกรุงสุโขทัย ศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรสุโขทัยซึ่งมีอำนาจอยู่บริเวณภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทยในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18-19 ตั้งอยู่ที่ตำบลเมืองเก่า (เขตเทศบาลตำบลเมืองเก่า) อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ห่างจากตัวเมืองสุโขทัยปัจจุบัน (เขตเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี) ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 12 กิโลเมตร อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยได้รับการประกาศคุ้มครองครั้งแรกตามประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 92 ตอนที่ 112 ลงวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2504 ต่อมาในปี พ.ศ. 2519 โครงการฟื้นฟูอุทยานแห่งนี้ก็ได้รับการอนุมัติ และเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2531

อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ของประเทศไทยตั้งอยู่ที่ตำบลศรีสัชนาลัย อำเภอศรีสัชนาลัย มีโบราณสถานทั้งหมด 215 แห่ง สำรวจค้นพบแล้ว 204 แห่ง รวมทั้งสุสานวัดชมชื่น และเตาสังคโลกโบราณ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2534

อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย พร้อมด้วย อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ได้รับเกียรติให้ลงทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก องค์การยูเนสโก ภายใต้ชื่อว่า "เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร" (Historic Town of Sukhothai and Associated Historic Towns)