เริ่มต้นวิ่ง.... ก็เจอบทเรียนอันแสนสาหัส
การแข่งขันได้เริ่มขึ้นแล้ว ผมไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ใจคิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องชนะให้ได้ ตั้งหน้าตั้งวิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่ง แล้วก็วิ่ง ใครจะแซงหรือจะแซงใครผมก็ไม่สน วิ่งไปตามเส้นทางที่เค้าบอกให้วิ่ง เค้าบอกให้ไปทางไหนผมก็ไป เชื่อเค้าหมด... วิ่งไปได้ 3 กิโลกว่าๆ ครึ่งทางผ่านไปแรงเริ่มแผ่วลงเรื่อยๆ แต่ด้วยใจที่มันคิดแต่จะเอาชนะ ก็อดทนวิ่งจนเข้าสู่เส้นชัยจนได้... และป้ายอันดับ 3 ก็มาอยู่ในมือผม
ถ้วยรางวัลใบนี้เองเป็นถ้วยแห่งความภาคภูมิใจและแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมวิ่งต่อมาเรื่อยๆ ไม่จบลงเพียงเท่านั้น
ต้นโศก ดอกแก้ว ก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้เป็นนักวิ่งอาชีพหรือนักกีฬาทีมชาติอะไรกะเค้าหรอก แค่ลูกจ้างได้ค่าจ้างรายเดือนเท่านั้นเอง ซึ่งถ้าพอมีเวลาก็จะไปออกกำลังกายเพื่อระบายอารมณ์และผ่อนคลายความตรึงเครียดจากการทำงานบ้าง แม้จะออกกำลังกายเป็นครั้งเป็นคราวแต่เพื่อนๆที่ทำงานด้วยกันก็จะมองเราเป็นนักกีฬาซะอย่างนั้น เพราะมีน้อยคนนักที่จะเจียดเวลามาออกกำลังกายอย่างเรา และแล้วอยู่มาวันหนึ่งก็ตัดสินใจวิ่งยาวครั้งแรกด้วยระยะ 7 กม. ในวันที่ 29 ธันวาคม 2544 ณ ลานกีฬาวัชรพล กรุงเทพมหานคร ด้วยคำเชิญชวนแกมบังคับของ มร.โซโก ซูกิยูระ ชาวญี่ปุ่นซึ่งมารับตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการศูนย์พัฒนาการประมงที่ทำงานในขณะนั้น ก่อนหน้านั้นไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเค้ามีการแข่งขันวิ่งแบบนี้กันด้วย นึกว่าจะมีแต่งานวิ่งแข่งขันที่ให้นักวิ่งทีมชาติไม่กี่คนเขาวิ่งแข่งกัน งานนี้นักวิ่งเพียบเลย ตัวเองก็ไม่ใช่ทีมชาติซะด้วย จะให้มาวิ่งยาวขนาดนี้มันจะไหวมั้ยเนี่ย และก็ไม่เคยวิ่งยาวเกิน 1000 เมตรมาก่อนเลย แต่ชาติเสือต้องไว้ลาย ลูกผู้ชายต้องไว้ศักดิ์ศรี เป็นสตรีก็ยอมแพ้ไม่ได้ (ภาษิตของผมเอง) วันนี้ขอสู้ตายละวะ เพื่อไม่ให้เสียชื่อนักกีฬาที่เพื่อนในออฟฟิศต่างมองผมว่าเป็นอย่างนั้น....
การแข่งขันได้เริ่มขึ้นแล้ว ผมไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ใจคิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องชนะให้ได้ ตั้งหน้าตั้งวิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่ง แล้วก็วิ่ง ใครจะแซงหรือจะแซงใครผมก็ไม่สน วิ่งไปตามเส้นทางที่เค้าบอกให้วิ่ง เค้าบอกให้ไปทางไหนผมก็ไป เชื่อเค้าหมด... วิ่งไปได้ 3 กิโลกว่าๆ ครึ่งทางผ่านไปแรงเริ่มแผ่วลงเรื่อยๆ แต่ด้วยใจที่มันคิดแต่จะเอาชนะ ก็อดทนวิ่งจนเข้าสู่เส้นชัยจนได้... และป้ายอันดับ 3 ก็มาอยู่ในมือผม
ถ้วยรางวัลใบนี้เองเป็นถ้วยแห่งความภาคภูมิใจและแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมวิ่งต่อมาเรื่อยๆ ไม่จบลงเพียงเท่านั้น
ครั้งแรกในชีวิตที่ลงสนามแข่งขันวิ่งมินิมาราธอน ด้วยระยะทาง 7 กม. ไม่นึกไม่ฝันเลยซิ ว่าจะต้องมาวิ่งยาวซะขนาดนี้ ตอนวิ่งก็ไม่หนักหนาอะไรหรอกนะ ในใจได้แต่คิดว่าต้องเอาชนะให้ได้แค่นั้นเอง พอได้ที่ 3 ก็รู้สึกดีใจภูมิใจตัวเองซะไม่มีหละ แถมยังได้ถ้วยรางวัลติดมือกลับบ้าน เอาไปอวด ป๊ะป๋า กับ แม่ซะด้วยงานนี้นอกจากจะต้องหอบถ้วยกลับบ้าน แถมยังต้องหิ้วสังขารเกือบ 50 กิโลกลับไปให้ถึงบ้านอีกอ่ะ ความทรมานเริ่มมาเยือน หลังจากวิ่งเสร็จไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ขาผม มันเริ่มก้าวไม่ออกแล้ว มันเจ็บปวดรวดร้าว ระบมไปหมดเลย ชีวิต หนอ ชีวิต ผมอยากจะนั่งนิ่งๆ อยู่ริมฟุตบาท ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ไม่ไหวแล้ว ทรมานเหลือเกิน.... มันทรมานเหลือเกิน หอบสังขารกลับมาบ้านก็บุญหนักหนาแล้ว เวลาจะขึ้นลงบันไดที ก็ใช้รูดตัวขึ้นลงเอา เพราะจะก้าวแต่ละที มันไม่ไหวเอาซะเลย แล้วก็ร้องโอดโอย ให้น้องชายช่วยนวดให้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น