19.7.50

5 มาราธอน 5 อาทิตย์ติด เรื่องจิ๊บๆ (ตอนจบ)

สนามที่ 5 พัทยามาราธอน (15 ก.ค.50)
ผมแทบไม่อยากจะลุกออกจากที่นอนเลยให้ตายซิ
มันรู้สึกไม่อยากจะวิ่งเลย เพราะรู้สึกว่าวิ่งมา 4 มาราธอนเนี่ยก็เต็มกลืนแล้ว...
แต่ก็ฝืนขึ้นมาอีกแค่สนามเดียวเป้าหมาย 5 มาราธอน 5 อาทิตย์ก็จะจบกันซะที....
พอปล่อยตัวออกไป ผมก็ยังรู้สึกขี้เกียจ
ขามันไม่ค่อยอยากจะก้าว เฮ้อ... ทำไมต้องมาถ่อสังขารอยู่ได้ว้า...
ฝืนวิ่งไปเรื่อยๆอาการค่อยดีขึ้นมาหน่อย
ถึง กม. ที่ 15 ผมเริ่มรู้สึกมีความสุขกับการวิ่งแล้วครับทีนี้
เพราะด้วยอากาศที่ไม่ค่อยร้อน
บวกกับการปิดถนนเส้นสุขุมวิทสำหรับนักวิ่งมาราธอน
มันทำให้ผมรู้สึกว่าผู้จัดเอาใจใส่นักวิ่งมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ
คุณตำรวจและเจ้าหน้าที่ อปพร.พัทยา ให้การสนับสนุนและดูแลนักวิ่งเต็มที่
สนามนี้เป็นสนามที่ผมพูดได้เต็มปากเลยว่าผมเป็นนักวิ่งคนสุดท้าย
และที่ผ่านมาผมรู้สึกว่าสนามนี้มันโหดและก็ไม่ค่อยจะประทับใจผลงานที่ผ่านมาสักเท่าไหร่
มาวันนี้สนามสุดท้ายเป็นสนามที่ทำให้ผมรู้สึกประทับใจและมีความสุขในการวิ่งที่สุด
เพราะผมได้เห็นแล้วว่าสนามนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น อย่างเห็นได้ชัด
พัทยามาราธอนที่ว่าโหด
คราวนี้ต้องเปลี่ยนใหม่เป็นพัทยามาราธอนที่ใครๆก็วิ่งได้
วันนี้ผมทำเวลาไป 6 ชั่วโมงกว่า แต่ไม่รู้กว่าไปเท่าไหร่...

เฮ้อ จบสิ้นกันซะที 5 มาราธอนของผมจบแล้ว
การแข่งขันทุกอย่างก็จบลง
แต่ที่จะยังคงดำเนินต่อไปก็คือ ชีวิตที่รอดมาได้ของผมเอง

จบ 5 สนามผมรู้สึกมีความสุขและก็ดีใจเป็นที่สุด
ที่ดีใจและมีความสุขไม่ใช่เพราะผมทำได้สำเร็จหรอกนะครับ
เรื่องความสำเร็จ 5 สนามของผมมันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย
แต่ที่น่าดีใจคือบ้านเรามีสนามมาราธอนให้วิ่งมากขึ้น
เพื่อสุขภาพของคนไทยทุกคน
ยิ่งไปกว่านั้นผมเห็นว่างานวิ่งเกือบทุกงานมีการพัฒนาปรับปรุงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ว่าจะเป็นมาราธอนทั่วไปสำหรับนักวิ่งไทย
หรือแม้แต่มาราธอนนานาชาติ ก็เป็นที่น่ายินดีกับวงการวิ่งบ้านเรา
และจากประสบการณ์ 5 สนามที่ผ่านมา
ผมต้องขอชื่นชมและยกย่องในความเก่งกล้าสามารถ
ของน้อง ศยามล ผูกมิตร สังกัดชมรมวิ่งทองกวาว
น้องคนนี้เก่งและแกร่งจริงๆ สมกับเป็นนักกีฬาตัวจริง
ได้ที่ 1 ไปครองเกือบทุกสนาม แรงดีไม่มีตก
ไม่รู้ร่างกายถูกสร้างมาด้วยอะไร แต่ที่แน่ๆผมว่าเธอซ้อมมาอย่างดี
ไม่รู้ว่าด้วยสูตรไหนเพราะที่วิ่งๆกันเนี่ยเธอก็วิ่งระยะมาราธอนตลอด
หรือว่าเพราะน้องเค้ายังละอ่อนก็ไม่รู้…
ในฐานะที่เธอเป็นนักวิ่งแข่งขัน ผมยอบรับเลยว่าเธอเก่งมากๆ

แต่ที่ไม่ละอ่อน ก็ป้าสมพิศ ฮิวการ์ดเนอร์ และ
เจ๊ลุ้ย-เสาวลักษณ์ ธรรมรงค์กุล เป็นนักวิ่งอาวุโส 60 ปีขึ้น
ที่เก่ง แกร่งและมีสปิริตของความเป็นนักวิ่งระยะมาราธอนอย่างสมบูรณ์
42 กม. ก็คือ 42 กม. อย่ามาให้ป้าลักไก่เลยลูก หลานเอ้ย...
ใครเค้าไม่รู้ ไม่เป็นไร แต่คนเราก็รู้อยู่แก่ใจตัวเอง...
นี่แหละครับมนุษย์มาราธอนตัวจริง! สุดยอดคนจริง

11.7.50

5 มาราธอน 5 อาทิตย์ติด เรื่องจิ๊บๆ (ภาคที่ 6)




สุราษฎร์ธานีมาราธอน (8 ก.ค.50) หนังม้วนใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว
ตอนนี้ผมต้องเปลี่ยนไปรับบทใหม่
ต่างจาก 3 ตอนที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง
3 ตอนที่แล้วผมรับบทเป็นพระเอกของเรื่อง
แต่ม้วนนี้ผมเป็นตัวโกงครับ... เริ่มบทผมก็เริ่ม ระราน ท้าแข่งเค้าไปทั่ว...
ครั้งแรกก็ไม่ได้คิดหรอกว่าจะแข่งขันกับใคร
แต่พอมันถูกอัดอั้นมาซะนาน ตั้ง 3 อาทิตย์อ่ะ
และนี่แหละตามนิสัยหรือสันดานหรือมุมมืดของความเป็นมนุษย์
ที่ทุกคนมีแฝงอยู่ภายใน เมื่อรู้ว่าตัวเองมีกำลังมีอำนาจ
ก็พยายามที่จะแสดงมันออกมาเพื่อให้เห็นว่า
ตูอ่ะมีแรง มีกำลัง มีอำนาจ แต่มีปัญญาหรือเปล่าไม่รู้...
ขอให้ได้ใช้กำลังและเอาชนะคนที่อ่อนแอกว่าให้ได้
เพื่อให้คนเค้าเห็นว่า ข้าฯก็มีกำลังนะเฟ้ย...
โชคดีนะเนี่ยที่ผมไม่ได้มีโอกาสเป็นผู้นำประเทศ...
ไม่เช่นนั้น ผมจะใช้กำลังขจัดโจรผู้ร้ายให้หมดสิ้น (หุ หุ ล้อเล่น)

..... ดังนั้น คงไม่ต้องแปลกใจหรอกที่ทำไมสนามนี้
ผมใช้เวลาไปแค่เพียง 4 ชม. 51 นาที ต่างจาก 3 สนามที่ผ่านมา
และคงจะต่างจากสนามสุดท้ายเช่นกัน.....
ผมไม่ต้องเก็บภาพ ผมไม่ต้องถ่ายวิดีโอ
ผมไม่ต้องห่วงใคร ผมสนใจแต่ตัวเอง
ใครไม่เกี่ยวถอยไป ผมวิ่งอย่างที่ผมอยากจะวิ่ง อยากจะเอาชนะ
แต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็เข้าสู่เส้นชัยที่เดียวกับนักวิ่งคนอื่นๆ
ส่วนความภาคภูมิใจน่ะเหรอ... ด้วยเวลา 4 ชั่วโมงกว่าๆของผม
ถ้าเปรียบเทียบกับเวลา 7 ชั่วโมงของพี่นัยเนตรซึ่งวิ่งมาราธอนเป็นครั้งแรกในชีวิต
ผมว่าความภาคภูมิใจของพี่เค้ามันเป็นสิ่งน่าภาคภูมิใจกว่าผมหลายเท่าเลย....
วิ่งเสร็จก็เหนื่อย ไม่เหนื่อยธรรมดานะเหนื่อยมากๆ
หน้างิ่วคิ้วขมวด เจ็บก็เจ็บ ใครทักทายก็ไม่อยากพูดด้วยแล้ะ ดีไม่แยกเขี้ยวเข้าใส่...

5.7.50

มาราธอน 5 อาทิตย์ติด เรื่องจิ๊บๆ (ภาคที่ 5)

มาราธอนที่ 3 ชอนตะวันมาราธอน (1 ก.ค.50)
มาราธอนสนามนี้เป็นสนามที่วิ่งวน 13 รอบ ภายในอุทยานสวรรค์
เป็นสนามที่วิ่งได้ง่าย เส้นทางเรียบไม่มีเนิน ไม่โหด ปลอดภัย อากาศก็ดี ไม่ร้อน
เหมาะสำหรับผู้อยากลองลงมาราธอนครั้งแรกเป็นอย่างยิ่ง
หรือ ใช้เป็นสนามซ้อมใหญ่สำหรับลงพัทยามาราธอนได้เป็นอย่างดี
สำหรับผมถ้าไม่ติดภารกิจตากล้องจำเป็นแล้วล่ะก้อ
สนามนี้น่าจะเป็นสนามที่ผมทำเวลาได้น้อยที่สุด
แต่ในที่สุดผมก็เป็นคนไทยคนสุดท้ายจนได้...
สนามนี้แม้ผมจะใช้เวลาไป 7 ชั่วโมง
แต่เวลาวิ่งก็ไม่เหงาเลยครับ
แม้นักวิ่งจะวิ่งเร็วแค่ไหนก็ยังวิ่งอยู่บนเส้นทางเดียวกัน
วิ่งเร็วมากๆ ก็น้อค-รอบผ่านผมไป
อีกสักพักก็มาน้อค-รอบผมอีกแล้ะ
งานนี้ผมถูกน้อค-รอบเป็นว่าเล่นเลย เรียกว่าเห็นหน้าก้นจนจำได้อ่ะ
งานนี้ผมถูกน้อคจากนักวิ่งเกือบทุกคน
บางคนรอบเดียว บางคนก็ สอง สาม สี่รอบ
แต่ 2 รอบสุดท้ายไม่มีใครมาน้อครอบผมแล้ะ ก็ตอนนั้นแทบไม่เหลือนักวิ่งแล้วนี่ครับ...

ชอนตะวันมาราธอนจบลง คุณนิชิบอก “ผมติดธุระ” เดี๋ยวพัทยาค่อยเจอกันอีกที
บทซุปเปอร์แมนของผมจบแล้วครับ ตอนนี้ผมดีใจเหมือนปลากระดี๋ได้น้ำ... เลยครับ

2.7.50

มาราธอน 5 อาทิตย์ติด เรื่องจิ๊บๆ (ภาคที่ 4)

วันศุกร์ที่ 29 มิ.ย.ก่อนจะต่อมาราธอนที่ 3 ในวันอาทิตย์นี้
ผมรู้สึกเหนื่อย เพลีย ล้าเหลือเกิน เหมือนจะไม่สบายซะงั้น
ทั้งๆที่เมื่อวานอาการก็ยังดีอยู่ และตั้งใจว่าวันเสาร์นี้
จะลองไปทดสอบสมรรถภาพที่ผ่านการฝึกซ้อมมาเสียหน่อย
หลังจากที่ต้องกล้ำกลืนเดินๆวิ่งๆมาแล้วถึง 2 สนาม
ก็เลยกะว่าจะเอาสัก 30 กิโล ขึ้นเขาสามมุกเนี้ยแหละว้าอัดมันให้สุดๆไปเลย...
ก่อนจะไปเดินๆวิ่งๆต่อ มาราธอนที่ 3 ชอนตะวันมาราธอน...
สุดท้ายผมก็ต้องตัดใจลงแค่ 10 กม.
เพราะดูสังขารตัวเองแล้วก็น่าเป็นห่วง
นอกจากจะวิ่ง 30 กม.แบบทุลักทุเล
วันอาทิตย์ผมอาจจะเดินๆวิ่งๆไม่ครบ 42 แน่เลย

เรื่องเล่าเช้าวันเสาร์...ก่อนมาราธอนที่ 3
พอไปถึงสนามซุปเปอร์มินิ-ฮาล์ฟมาราธอน (30 มิ.ย.50)
ไม่ทราบเป็นเพราะผลงานการจัดที่ผ่านมา
หรือว่าเพราะมีสนามวิ่งมาราธอนติดกันในช่วงนี้หลายสนาม
เลยทำให้นักวิ่งดูบางตาไปมากๆ
วันนี้ผมตั้งใจมาอัดอย่างเดียวแต่ก็แค่ 10 โลเองนะ
ปล่อยตัวไปได้สักพักเพิ่งวิ่งไปได้สัก 3 กิโลเห็นจะได้
ทั้งลม ทั้งฝน กระหน่ำมาอย่างแรง
ถ้ามีปีกวันนี้ผมคงเหาะปลิวไปกับสายลมที่พัดอย่างบ้าระห่ำแน่ๆ
ตามเส้นทางวิ่งป้ายบอกทางล้มระเนระนาด ปลิวหายไปบ้าง
เจ้าหน้าที่อยู่ไม่ได้แล้ว ก็มีแต่นักวิ่งนั่นแหละที่บ้าวิ่งสู้ลมสู้ฝนอยู่ได้ รวมทั้งตัวผมเองด้วย

ป้ายบางจุดหายไป ผมก็ไม่รู้วิ่งทางไหน
ได้แต่วิ่งตามนักวิ่งเจ้าถิ่น(ชมรมวิ่งตำหนักน้ำ)ไปเรื่อยๆ
เพราะเชื่อว่าเจ้าถิ่นน่าจะรู้ดีกว่าเราแน่นอน...
และในที่สุดก็กลับมาถึงจุดปล่อยตัว-เส้นชัย
ทุกอย่างเปลี๋ยนไป ไม่เหลือร่องรอยเลยว่าเคยเป็นจุดปล่อยตัวเมื่อก่อน 40 นาทีที่แล้ว
เข้าเส้นชัยทุกอย่างดูจะสับสนกันไปหมด เพราะสภาพภูมิอากาศที่ทุกคนไม่ทันได้ตั้งตัว

นอกจากความตั้งใจที่จะมาอัดเต็มที่แล้ว
วันนี้ผมยังต้องรีบวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะไม่อยากให้รองเท้ามันเปียก
พรุ่งนี้ผมต้องใช้มันวิ่งมาราธอนอีก
สรุปแล้ววันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมวิ่งแล้วรู้สึกสะใจจริงๆ
ที่ได้วิ่งแข่งอีกครั้งในรอบปี
โดยที่ไม่ได้ถ่ายรูปเลยแม้แต่รูปเดียวระหว่างเส้นทางการวิ่ง...
หลังจากได้ความสะใจเล็กๆที่พอจะเจือจางความข่มขื่นไปได้บ้าง

งานนี้ผมยังได้เห็นน้ำใจความเป็นนักกีฬา
ของเพื่อนนักวิ่งหญิงในรุ่น 30-39 ปีระยะ 10กม.
ผลจากที่ลม และฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก
ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยบอกทาง ไม่มีกรรมการคอยดูแลตัดสิน
ทำให้นักวิ่งบางคนหลงทาง
ดังนั้นนักวิ่งต้องมาตัดสินกันเองในรุ่นว่าใครเข้าก่อนเข้าหลัง
และในรุ่นนี้ผู้ที่เข้ามาที่ 1 เธอวิ่งผิดเส้นทางแต่เธอก็ขอสละสิทธิ์
เพราะรู้ตัวเองว่าวิ่งผิดเส้นทาง
งานนี้แจกถ้วยรางวัล 3 ใบ คนที่เข้าเป็นที่ 2 และ ที่ 3 ไม่มีปัญหาได้ถ้วยแน่นอน
ส่วนคนที่ 4 พี่อ๋อย รามเกียร เมื่อที่ 1 ขอสละสิทธิ์เธอก็มีโอกาสได้ถ้วยไป
แต่ด้วยสปิริตน้ำใจนักกีฬาของพี่อ๋อย
เห็นว่าคนที่เข้าที่ 1 เป็นนักวิ่งน้องใหม่ แล้วสเต็ปการวิ่งก็ดีมาก
ถ้าเธอไม่หลงทางยังไงก็เข้าเป็นที่ 1 อยู่ดี
ที่หลงทางก็เพราะเหตุสุดวิสัยจริงๆไม่ได้ตั้งใจจะลัดเส้นทาง
สุดท้ายพวกเราก็ตัดสินกันเองด้วยสปิริตน้ำใจของนักกีฬา
และโดยเฉพาะพี่อ๋อยที่ยอมเสียสละ และยอมรับในความสามารถของนักวิ่งที่เข้าอันดับ 1

ปกติแล้วถ้าเป็นเส้นทางวิ่งที่มีการย้อนกลับเส้นทางเดิม
หรือนักวิ่งได้มีโอกาสได้วิ่งสวนกัน
ผู้ที่ชื่นชอบกับการสะสมถ้วยรางวัล หรือหวังรางวัลจากการแข่งขัน
ก็จะรู้กันอยู่แล้วว่าใครนำใครอยู่ ใครเข้าก่อน-เข้าหลังตัวเอง
แต่ก็ยังมีนักวิ่งแนวหน้า(หน้าด้าน)บางคนทั้งๆที่รู้ผลและรู้อยู่แก่ใจดี
ไม่มีน้ำใจเป็นนักกีฬา กรรมการตัดสินผิดพลาดก็ถือเอาเป็นที่ตั้ง
บางคนโกงแม้กระทั่งตัวเอง (โกงเส้นทางก็ว่าร้ายแล้ว โกงอายุยิ่งร้ายกว่าซะอีก)
ไม่รู้เกิดอัลไซเมอร์กะทันหันอะไรขึ้นมาเกิดจำอายุตัวเองไม่ได้
(ต้องรีบพาไปรักษา ไม่งั้นยิ่งวิ่งอาการยิ่งกำเริบ)
นอกจากจะไม่ให้เกียรติคนอื่นยังไม่เคารพตัวเอง
อย่างนี้จะหวังให้ใครมาเคารพมานับถือ
แล้วสิ่งที่ได้มาแบบนี้คงจะภูมิใจเค้าน่าดู... ได้ยิน ได้เห็น แล้วก็น่าสังเวจ อนาจใจนัก