25.9.50
เมื่อนักวิ่ง เสียชีวิตในสนามวิ่ง
จะมีใครคิดเหมือนผมบ้างไหม? เหตุการณ์นี้นอกจะเป็นบทเรียนแก่นักวิ่ง มันก็น่าจะเป็นบทเรียนให้ผู้จัดบ้าง
23 กันยายน 2550 รายการแข่งขัน สยามมาราธอน ครั้งที่ 2 ณ สวนสาธารณะหนองจอก กรุงเทพมหานคร
ระยะมาราธอนปล่อยตัว 03.40 น. มาราธอนสนามนี้เมื่อปีที่แล้วติดไปทำงานทางใต้เลยกลับขึ้นมาวิ่งไม่ทัน
ปีนี้ก็เลยมาเก็บซะ ถ้าปีที่แล้วผมมีโอกาสมาวิ่ง ปีนี้ผมคงไม่มาที่แน่เลย
เส้นทางการแข่งขัน แม้จะดูง่ายๆ แต่มันเสี่ยงมากเลย ผมเกือบจะได้แพร่ระบาดเชื้อบ้าให้กับบรรดาเจ้าเขี้ยวงามที่คอยสอดส่องดูแลทรัพย์สินให้ผู้ปกครองของมันเสียแล้ว แต่โชคดีหวุดหวิดรอดมาได้ เป็นเส้นทางที่มีหมาเยอะมาก ไม่เยอะอย่างเดียวเท่านั้นแถมแม่ง... มันดุอีกต่างหาก นอกจากจะต้องหนีหมา ยังต้องมาปะกับความมืดอีก.... ก้าว แต่ละ ก้าว ผม ต้องระวังเป็นอย่างมาก เพราะเสียวหัวจะขมำจับกบแถวนั้น
วันนี้ผมคงต้องบอกว่าเศร้าใจและเสียใจ ที่เพื่อนนักวิ่งดีๆคนหนึ่งต้องจากไป คุณปิยะ วิริยะวณิชย์ และคงต้องขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัว ที่สูญเสียหัวหน้าครอบครัวซึ่งเป็นเสาหลัก น้องปริวัฒน์ และ น้องวรัทยา วิริยะวณิชย์ ที่ต้องสูญเสียคุณพ่อไป และสมากชิกชมรมวิ่งกิ๊กก๊อกจ๊อกกิ้ง ที่ต้องสูญเสียผู้นำที่สมบูรณ์แบบ
คุณปิยะ ร่วมวิ่งงานนี้ด้วยเช่นกัน ปล่อยตัวเวลาตี 3.40 น. นักวิ่งออกไปหมดแล้ว ผมจึงตามออกไปเพราะมัวแต่บันทึกภาพก่อนปล่อยตัว พี่เค้าก็ออกเดินไปเรื่อยๆ ผมยังเอ่ยปากบอกพี่เค้าว่า ไปเรื่อยๆนะครับ บริเวณที่เกิดเหตุ เป็นช่วงระยะ ที่ 9-11 กม.
หากใครได้วิ่งด้วยกัน และหากไม่หลงทางตรงจุดนั้นเสียก่อน จะจำได้ว่า กม. ที่ 9-11 เป็นเส้นทางที่เราเลี้ยวซ้าย ออกจากถนนหลักที่เราวิ่งกัน เข้าไปเส้นทางนั้นจะค่อนข้างมืด และถึงกับมืดสนิทเลยทีเดียว และนักวิ่งระยะนี้ก็ใช่ว่าจะมากนัก ดังนั้นนักวิ่งจะวิ่งห่างกันพอสมควร หากใครเกิดเป็นอะไรขึ้นมาก็เรียกว่ากว่าจะได้เจอกันก็นานทีเดียว นอกจากเส้นทางที่มืด ซึ่งนักวิ่งไม่สามารถมองเห็นเส้นทางได้ชัดเจน หากใครมีปัญหาด้านสายตา บอกได้เลยว่ามองไม่เห็นแน่นอน โชคดีสำหรับผม เพราะพกกล้องติดตัวไปด้วย พอเปิดกล้องก็พอจะมีแสงให้เห็นเส้นทางได้บ้าง แต่สำหรับนักวิ่งทั่วไปจะมีสักกี่คน ที่พกไฟฉาย กล้อง หรือแม้แต่มือถือ ที่พอจะให้แสงได้ล่ะครับ ก็คิดดูละกันก่อนจะเข้ามาวิ่งเส้นทางนี้ มีป้ายบอกให้เลี้ยวซ้าย มีนักวิ่งจำนวนกว่า 10 คนมองไม่เห็นป้ายนี้แล้วก็วิ่งตรงกันไปเลย
นอกจากความมืดของเส้นทางการแข่งขัน อีกอย่างคือ รถปฐมพยาบาลเคลื่อนที่ ที่มีความสำคัญต่อการวิ่งระยะยาวๆ หรือแม้แต่ระยะสั้นก็ตามเหตุการณ์ครั้งหนึ่งของพี่ปั้น คงจำกันได้ ใครจะคิดว่าแม้แต่วิ่งเป็นรอบ ๆ อุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ที่เราไม่คาดคิดมันย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ คนเป็นลม ย่อมต้องการปฐมพยาบาลเบื้องต้นในทันทีและต้องการการช่วยเหลือที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที แม้ว่าจะได้รับการช่วยเหลือ แต่หลังจากนั้นสัก 10 นาที ครึ่งชั่วโมง มันก็สายไปแล้ว...
นักวิ่งหลายๆคน ไม่ได้แข็งแรงร้อยเปอร์เซนต์เสียทุกคนไป หรือแม้แต่บางคนที่แข็งแรงแต่ด้วยความที่อยากเอาชนะ ร่างกายมันก็ย่อมล้า เกิดวิกฤตขึ้นได้เสมอ ดังนั้นนอกจากตัวนักวิ่งเองที่ต้องระวังตัวเอง ในสนามวิ่งผู้จัดเองก็ต้องร่วมรับผิดชอบในส่วนตรงนี้ด้วยเช่นกัน
เหตุการณ์ในครั้งนี้ ถ้าเป็นคนไทย อาจจะบอกว่า คนเรามันถึงเวลาแล้วที่ต้องไป แต่ผมอยากให้ผู้จัด เห็นเหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนของผู้จัดเสียมากว่า มากกว่าจะปล่อยให้นักวิ่งมาเผชิญชะตากรรมกันเอง อะไรจะเกิดก็แล้วแต่บุญแต่กรรม
ไม่รู้จะพูดยังไงเลย เศร้า... ต่อจากนี้... ผมจะรอดูซิว่า เรื่องนี้จะเป็นยังไงต่อไป
ป้ายกำกับ:
030 เรื่องวิ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น