5.6.52

วันนี้ไปบริจาคเลือดมา... ครั้งแรกเลย

สุขภาพดีด้วยการบริจาคโลหิต
นอกจากความภูมิใจที่ได้แบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่นโดยทางอ้อมแล้ว เชื่อไหมว่าการบริจาคเลือดยังช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย เลือดประกอบด้วยพลาสมา (น้ำเหลือง) และเม็ดเลือด คิดเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว คือ 5-6 ลิตรสำหรับผู้ชาย และ 4-5 ลิตรสำหรับผู้หญิง หรือประมาณ 17-18 แก้วน้ำ ไขกระดูกเป็นอวัยวะตั้งต้นที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือด 3 ชนิด อันได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด เพื่อทำหน้าที่แตกต่างกันไปในร่างกาย
เม็ดเลือดแต่ละชนิดจะมีอายุการทำงานที่ชัดเจนคือ เม็ดเลือดแดงมีอายุ 120 วัน เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดมีอายุ 5-10 วัน เมื่อถึงเวลาที่กำหนด เม็ดเลือดจะถูกทำลายและขับถ่ายออกมาในรูปของเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ หลังจากนั้นไขกระดูกจึงสร้างเซลล์เม็ดเลือดชุดใหม่ขึ้นมาทดแทนได้โดยไม่มีวันหมด ปริมาณเลือดที่มีในร่างกายเป็นปริมาณที่ถูกสร้างขึ้นมาให้เกินกว่าความต้องการใช้ที่แท้จริง เพราะร่างกายต้องการใช้เพียง 15-16 แก้วน้ำเท่านั้น ส่วนเลือดอีก 2-3 แก้วน้ำเป็นปริมาณสำรองเพื่อรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ดังนั้นการบริจาคเลือดซึ่งนำเลือดออกมาประมาณ 350-450 มิลลิลิตร จึงเป็นการนำเลือดสำรองออกมาโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ แก่ร่างกาย เพราะไขกระดูกจะสร้างเลือดขึ้นมาทดแทนปริมาณที่ถูกถ่ายเทออกไป ทำให้เกิดประโยชน์โดยทางอ้อมคือ
ร่างกายได้เม็ดเลือดใหม่ ซึ่งแข็งแรงและทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่า ทำให้เม็ดเลือดแดงลำเลียงออกซิเจนได้เต็มที่ เม็ดเลือดขาวทำลายสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น และเกล็ดเลือดซ่อมแซมรอยฉีกขาดในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

กระตุ้นการทำงานของไขกระดูก เปรียบเหมือนการออกกำลังกายให้กับไขกระดูกได้ทำงานดีขึ้น

ได้ตรวจสุขภาพทางอ้อม เพราะเมื่อมีการได้รับเลือดแล้ว ทางสภากาชาดจะต้องตรวจความสมบูรณ์ของเลือด ตรวจหาภาวะติดเชื้อต่างๆ เท่ากับผู้บริจาคได้รู้ภาวะสุขภาพของตนเองในขณะนั้นด้วย

ลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน การวิจัยในประเทศฟินแลนด์พบว่า การบริจาคโลหิตช่วยลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันในเพศชายได้ถึง 88 เปอร์เซ็นต์ เพราะโรคนี้มีความสัมพันธ์กับปริมาณธาตุเหล็กที่สะสมในร่างกาย หากมีสะสมมาก โอกาสเสี่ยงย่อมสูง เนื่องจากธาตุเหล็กส่งผลให้ไขมันทำปฏิกิริยาออกซิเจนจนหลอดเลือดตีบและกลายเป็นอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน การบริจาคเลือดจึงช่วยให้ร่างกายลดภาวการณ์สะสมธาตุเหล็ก ซึ่งเท่ากับลดความเสี่ยงโรคหัวใจลงด้วยนั่นเอง การบริจาคเลือดทุก 3 เดือน จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะช่วยให้คุณมีสุขภาพดีขึ้นได้ด้วยตนเอง
ที่มา : นิตยสาร HEALTH & CUISINE ปีที่ 4 ฉบับที่ 47 ธันวาคม 2547 หน้า 32

4.6.52

กระท้อนหวาน อร่อย

ณ โรงเรียนชนบทที่อยู่ใกล้ สวนมะพร้าว และสวนกระท้อน ครูนิดเป็นคนชอบทานกระท้อนมาก ๆ และด.ญ.คำหล้าเป็นเด็กที่ทุบกระท้อนเก่งมาก จนครูนิดต้องให้ทุบกระท้อนให้ทานทุกๆ วัน
แล้ววันหนึ่งครูนิดก็พูดเหมือนเดิมว่า
ครูนิด "ด.ญ.คำหล้าวันนี้ช่วยทุบกระท้อน ให้ครูสัก 3 ลูกนะ"
ด.ญ.คำหล้า "วันนี้ครูนิดให้หนูทำอย่างอื่นแทนได้ไหมค่ะ"
ครูนิด "ทำไม เธอทุบกระท้อนหวานอร่อยดีครูชอบ"
ด.ญ.คำหล้า "หนูก็อยากทำให้ครูนะคะ แต่วันนี้ตอนมาโรงเรียนหนูเดินไม่ทันระวังแก้วมันบาดส้นเท้าหนูค่ะ"
ครูนิด !!!!!!!!!!!!!!!!??????????

ยายกับหลาน คนละเรื่องเดียวกัน

คุณตัว นางหนึ่งอาศัยอยู่กับยาย ตอนเย็นๆก็จะออกไปทำงาน โดยคุณยายไม่รู้ว่าหลานสาวทำงานอะไร เย็นวันหนึ่งตำรวจออกทำการกวาดล้าง และจับคุณตัว สาวๆได้หลายสิบคน คุณตัวหลานยายก็โดนจับไปกับเขาด้วย ตำรวจจัดแจงให้คุณตัวเข้าแถวเรียงกัน เพื่อขึ้นรถไปโรงพัก
บังเอิญคุณยายจะไปซื้อของที่ตลาด เดินผ่านมาเห็นพอดีเลยถามหลานสาวว่า "อีหนูมาเข้าแถวทำอะไรอยู่นี่?" ด้วยความอายและไม่อยากให้ยายรู้ หลานสาวเลยตอบว่า "อ๋อ กำลังเข้าแถวรอแจกส้มเขียวหวานน่ะยาย" คุณยายเห็นว่าของฟรีแบบนี้ไม่ควรพลาด เลยเข้าไปต่อแถวเป็นคนสุดท้าย
สักพักตำรวจที่เดินจดบันทึกประวัติคุณตัว ไล่มาจากหัวแถวก็มาถึงคุณยายท้ายแถว "ยาย...ยายแก่ปูนนี้แล้วยังไหวอีกเหรอ ยายทำได้ยังไงเนี่ย" ตำรวจถามด้วยความงุนงงสงสัย ยายตอบว่า "ไม่เห็นจะยากเลยพ่อหนุ่ม ยายก็แค่ถอน ฟันปลอมออกแล้วก็ ดูดๆ อมๆ จนน้ำแห้ง แค่นี้ก็เรียบร้อย" "??!!"

คนไทยฉลาดกว่าคนฝรั่งเยอะ

มีคนไทยอยู่ 1 คน พึ่งเรียนจบมาใหม่ๆได้ทำงานในบริษัทซึ่งเป็นของต่างชาติในทุกวันเขาก็ทำงาน เหมือนเดิมทุกวัน แต่.... มีอยู่มาวันหนึ่ง เขาได้เข้าห้องน้ำในบริษัทแล้วไปเจอ คนฝรั่ง2 คน อยู่ในห้องน้ำ ซึ่งกำลังล้างมือ หลังจาก ฉี่เสร็จ และพอฝรั่ง 2 คนนั้นเห็นคนไทย ทั้ง2คน จึงคุยข่มคนไทย ว่า....

ฝรั่งคนที่ 1 "นายเรียนจบที่ไหนว่ะ"ฝรั่งคนที่ 2 "เราเรียนจบที่ OXFORD " (ทันใดนั้น ฝรั่งคนที่ 2 ก็ควักน้ำล้างมือมาถึงข้อศอก) ฝรั่งคนที่ 1 เห็นก็งงแล้วถามว่า "ทำไมต้องล้างมือถึงข้อศอกด้วย"ฝรั่งคนที่ 2 ตอบว่า " ที่อังกฤษเขาสอน ให้ล้างอย่างนี้ เพราะ ตอนฉี่ ฉี่อาจกระเด็นมาถึงแขนก็ได้ ต้องระวังไว้ก่อน"(ทันใดนั้น ฝรั่งคนที่1 ก็ควักน้ำมาล้างมือ เฉพาะ ที่มือ แล้วหาไม้มา แคะขี้เล็บออก) ฝรั่งคนที่ 2 เห็นก็ถามว่า " นายจบจากที่ไหน"ฝรั่งคนที่ 1 ตอบว่า "เราจบจาก STAMFORD ที่นั่นเขาสอนให้ล้างมือเฉพาะที่สกปรก แล้วก็ แคะขี้เล็บออก เพื่อป้องกันเชื้อโรค"
ฝรั่ง 2 คนเห็นคนไทยฉี่อยู่ พอคนไทยฉี่เสร็จ ก็เดินออกจากห้องน้ำเลย ฝรั่งทั้ง 2 คนเห็นก็ตกใจว่าทำไมไม่ล้างมือ เลยวิ่งไปถามคนไทย ว่า "นายจบจากไหน ทำไมถึงไม่ล้างมือ" คนไทยตอบว่า "จบราม รามไม่สอนให้ฉี่รดมือตัวเอง"