2.7.50

มาราธอน 5 อาทิตย์ติด เรื่องจิ๊บๆ (ภาคที่ 4)

วันศุกร์ที่ 29 มิ.ย.ก่อนจะต่อมาราธอนที่ 3 ในวันอาทิตย์นี้
ผมรู้สึกเหนื่อย เพลีย ล้าเหลือเกิน เหมือนจะไม่สบายซะงั้น
ทั้งๆที่เมื่อวานอาการก็ยังดีอยู่ และตั้งใจว่าวันเสาร์นี้
จะลองไปทดสอบสมรรถภาพที่ผ่านการฝึกซ้อมมาเสียหน่อย
หลังจากที่ต้องกล้ำกลืนเดินๆวิ่งๆมาแล้วถึง 2 สนาม
ก็เลยกะว่าจะเอาสัก 30 กิโล ขึ้นเขาสามมุกเนี้ยแหละว้าอัดมันให้สุดๆไปเลย...
ก่อนจะไปเดินๆวิ่งๆต่อ มาราธอนที่ 3 ชอนตะวันมาราธอน...
สุดท้ายผมก็ต้องตัดใจลงแค่ 10 กม.
เพราะดูสังขารตัวเองแล้วก็น่าเป็นห่วง
นอกจากจะวิ่ง 30 กม.แบบทุลักทุเล
วันอาทิตย์ผมอาจจะเดินๆวิ่งๆไม่ครบ 42 แน่เลย

เรื่องเล่าเช้าวันเสาร์...ก่อนมาราธอนที่ 3
พอไปถึงสนามซุปเปอร์มินิ-ฮาล์ฟมาราธอน (30 มิ.ย.50)
ไม่ทราบเป็นเพราะผลงานการจัดที่ผ่านมา
หรือว่าเพราะมีสนามวิ่งมาราธอนติดกันในช่วงนี้หลายสนาม
เลยทำให้นักวิ่งดูบางตาไปมากๆ
วันนี้ผมตั้งใจมาอัดอย่างเดียวแต่ก็แค่ 10 โลเองนะ
ปล่อยตัวไปได้สักพักเพิ่งวิ่งไปได้สัก 3 กิโลเห็นจะได้
ทั้งลม ทั้งฝน กระหน่ำมาอย่างแรง
ถ้ามีปีกวันนี้ผมคงเหาะปลิวไปกับสายลมที่พัดอย่างบ้าระห่ำแน่ๆ
ตามเส้นทางวิ่งป้ายบอกทางล้มระเนระนาด ปลิวหายไปบ้าง
เจ้าหน้าที่อยู่ไม่ได้แล้ว ก็มีแต่นักวิ่งนั่นแหละที่บ้าวิ่งสู้ลมสู้ฝนอยู่ได้ รวมทั้งตัวผมเองด้วย

ป้ายบางจุดหายไป ผมก็ไม่รู้วิ่งทางไหน
ได้แต่วิ่งตามนักวิ่งเจ้าถิ่น(ชมรมวิ่งตำหนักน้ำ)ไปเรื่อยๆ
เพราะเชื่อว่าเจ้าถิ่นน่าจะรู้ดีกว่าเราแน่นอน...
และในที่สุดก็กลับมาถึงจุดปล่อยตัว-เส้นชัย
ทุกอย่างเปลี๋ยนไป ไม่เหลือร่องรอยเลยว่าเคยเป็นจุดปล่อยตัวเมื่อก่อน 40 นาทีที่แล้ว
เข้าเส้นชัยทุกอย่างดูจะสับสนกันไปหมด เพราะสภาพภูมิอากาศที่ทุกคนไม่ทันได้ตั้งตัว

นอกจากความตั้งใจที่จะมาอัดเต็มที่แล้ว
วันนี้ผมยังต้องรีบวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะไม่อยากให้รองเท้ามันเปียก
พรุ่งนี้ผมต้องใช้มันวิ่งมาราธอนอีก
สรุปแล้ววันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมวิ่งแล้วรู้สึกสะใจจริงๆ
ที่ได้วิ่งแข่งอีกครั้งในรอบปี
โดยที่ไม่ได้ถ่ายรูปเลยแม้แต่รูปเดียวระหว่างเส้นทางการวิ่ง...
หลังจากได้ความสะใจเล็กๆที่พอจะเจือจางความข่มขื่นไปได้บ้าง

งานนี้ผมยังได้เห็นน้ำใจความเป็นนักกีฬา
ของเพื่อนนักวิ่งหญิงในรุ่น 30-39 ปีระยะ 10กม.
ผลจากที่ลม และฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก
ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยบอกทาง ไม่มีกรรมการคอยดูแลตัดสิน
ทำให้นักวิ่งบางคนหลงทาง
ดังนั้นนักวิ่งต้องมาตัดสินกันเองในรุ่นว่าใครเข้าก่อนเข้าหลัง
และในรุ่นนี้ผู้ที่เข้ามาที่ 1 เธอวิ่งผิดเส้นทางแต่เธอก็ขอสละสิทธิ์
เพราะรู้ตัวเองว่าวิ่งผิดเส้นทาง
งานนี้แจกถ้วยรางวัล 3 ใบ คนที่เข้าเป็นที่ 2 และ ที่ 3 ไม่มีปัญหาได้ถ้วยแน่นอน
ส่วนคนที่ 4 พี่อ๋อย รามเกียร เมื่อที่ 1 ขอสละสิทธิ์เธอก็มีโอกาสได้ถ้วยไป
แต่ด้วยสปิริตน้ำใจนักกีฬาของพี่อ๋อย
เห็นว่าคนที่เข้าที่ 1 เป็นนักวิ่งน้องใหม่ แล้วสเต็ปการวิ่งก็ดีมาก
ถ้าเธอไม่หลงทางยังไงก็เข้าเป็นที่ 1 อยู่ดี
ที่หลงทางก็เพราะเหตุสุดวิสัยจริงๆไม่ได้ตั้งใจจะลัดเส้นทาง
สุดท้ายพวกเราก็ตัดสินกันเองด้วยสปิริตน้ำใจของนักกีฬา
และโดยเฉพาะพี่อ๋อยที่ยอมเสียสละ และยอมรับในความสามารถของนักวิ่งที่เข้าอันดับ 1

ปกติแล้วถ้าเป็นเส้นทางวิ่งที่มีการย้อนกลับเส้นทางเดิม
หรือนักวิ่งได้มีโอกาสได้วิ่งสวนกัน
ผู้ที่ชื่นชอบกับการสะสมถ้วยรางวัล หรือหวังรางวัลจากการแข่งขัน
ก็จะรู้กันอยู่แล้วว่าใครนำใครอยู่ ใครเข้าก่อน-เข้าหลังตัวเอง
แต่ก็ยังมีนักวิ่งแนวหน้า(หน้าด้าน)บางคนทั้งๆที่รู้ผลและรู้อยู่แก่ใจดี
ไม่มีน้ำใจเป็นนักกีฬา กรรมการตัดสินผิดพลาดก็ถือเอาเป็นที่ตั้ง
บางคนโกงแม้กระทั่งตัวเอง (โกงเส้นทางก็ว่าร้ายแล้ว โกงอายุยิ่งร้ายกว่าซะอีก)
ไม่รู้เกิดอัลไซเมอร์กะทันหันอะไรขึ้นมาเกิดจำอายุตัวเองไม่ได้
(ต้องรีบพาไปรักษา ไม่งั้นยิ่งวิ่งอาการยิ่งกำเริบ)
นอกจากจะไม่ให้เกียรติคนอื่นยังไม่เคารพตัวเอง
อย่างนี้จะหวังให้ใครมาเคารพมานับถือ
แล้วสิ่งที่ได้มาแบบนี้คงจะภูมิใจเค้าน่าดู... ได้ยิน ได้เห็น แล้วก็น่าสังเวจ อนาจใจนัก