แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 630 สุขภาพ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 630 สุขภาพ แสดงบทความทั้งหมด

23.11.52

กินยั้งมะเร็งกับนักกำหนดอาหาร

มีหลายปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง และนั่นรวมถึงการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม แบบไหนเรียกว่าเหมาะสม หรือไม่เหมาะสม ต้องติดตามสาเหตุของการเกิดมะเร็ง มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างด้วยกัน นอกเหนือจาก 'พันธุกรรม' ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็ง การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม เป็นสาเหตุหนึ่งในสามของการเสียชีวิตจากมะเร็งทั้งหมด"มะเร็งบาง ชนิดมีการทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากอะไร เช่น มะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส มะเร็งปอดสาเหตุสำคัญคือการสูบบุหรี่ แต่ยังมีมะเร็งอีกหลายชนิดที่เราไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน ซึ่งอาหารก็ถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งซึ่งอาจทำให้เกิดมะเร็งเหล่า นั้นได้ เช่น มะเร็งลำไส้ เชื่อว่าการที่เรารับประทานอาหารที่มีกากใยน้อยอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ เกิดมะเร็งลำไส้ได้ การรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนเชื้อราอาจเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งตับ แต่คนเป็นมะเร็งตับเกิดจากอาหารอย่างเดียวหรือเปล่า...ก็ไม่ใช่"

นุชธิดา สมัยสงฆ์ นักกำหนดอาหาร โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวถึงความสัมพันธ์ของอาหารกับมะเร็งเป็นสาเหตุของกันและกันได้อย่างไรปัจจุบัน นักกำหนดอาหาร มีส่วนสำคัญต่อการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง โดยเป็นหนึ่งใน Patient Care Team ทำงานร่วมกับทีมแพทย์ ดูแลด้านโภชนาการของผู้ป่วย ทำหน้าที่ประเมินภาวะโภชนาการ วางแผนโภชนบำบัดและให้คำแนะนำถึงรูปแบบการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและสอด คล้องตามสภาวะร่างกาย สภาวะของโรค แผนการรักษา และพฤติกรรมผู้ป่วยแต่ละราย ดูแลความถูกต้องของอาหารที่ผู้ป่วยได้รับขณะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลให้ ตรงตามคำสั่งการรักษาของแพทย์ พร้อมประเมินและติดตามผลการโภชนบำบัดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงให้คำแนะนำเวลาผู้ป่วยกลับไปพักฟื้นที่บ้านให้สามารถเป็นแนวทาง ปฏิบัติต่อไปได้การรับประทานอาหารที่ดีและได้รับสารอาหารครบถ้วนก่อนการรักษา ระหว่างการรักษา และหลังการรักษา จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและดีขึ้น วิธีการทำงานของ 'นักกำหนดอาหาร' คือ ประเมินน้ำหนัก-ส่วนสูงของผู้ป่วยมะเร็ง ที่นี่เรามีเครื่องมือวัดไขมันใต้ผิวหนัง วัดปริมาณกล้ามเนื้อในร่างกาย ซักประวัติการรับประทาน คนไข้มีประวัติน้ำหนักเปลี่ยนแปลงมากขึ้นหรือลดลงหรือไม่ การรับประทานอาหารมีภาวะคลื่นไส้อาเจียนหรือไม่ ใช้หลายข้อมูลประกอบกัน บางครั้งคนไข้มีการเจาะเลือดก็จะใช้ผลเลือดมาประกอบด้วยนุชธิดา สมัยสงฆ์ กล่าวและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างการดูแลภาวะโภชนาการกับผู้ป่วยมะเร็งว่า "คนไข้มะเร็ง ก่อนผ่าตัดเราต้องดูแลภาวะโภชนาการให้เหมาะสม เพื่อที่หลังผ่าตัดระยะเวลาในการอยู่โรงพยาบาลจะได้สั้นลง แผลหายได้เร็วขึ้น ต้องดูว่าก่อนหน้ามาโรงพยาบาลหกเดือนคนไข้มีการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว หรือเปล่า ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาลักษณะการรับประทานได้เหมือนเดิม หรือรับประทานเพิ่มขึ้นหรือลดลงหรือไม่ อาหารกลุ่มไหนที่รับประทานเป็นหลัก เช่น ในส่วนของข้าวรับประทานข้าวขาวหรือข้าวกล้อง ปริมาณมากน้อยแค่ไหนในแต่ละมื้อ เนื้อสัตว์ที่รับประทานเป็นเนื้อสัตว์แบบไหน ประเมินอาหารในแต่ละส่วน ก่อนผ่าตัดมีการเจาะเลือด ก็จะดูผลเลือดว่ามีส่วนไหนที่บกพร่อง มีน้ำตาลในเลือดสูง มีไขมันในเส้นเลือดแค่ไหน ถ้าการผ่าตัดกรณีที่รอได้ เราก็จะปรับภาวะโภชนาการให้อยู่ในระดับที่ดีก่อน"ในฐานะนักกำหนดอาหาร นุชธิดาให้ข้อคิดเกี่ยวกับการรับประทานอาหารเพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงการเป็นมะเร็ง ดังนี้

  • รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (แอนตี้ออกซิแดนท์) ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี และซีลีเนียม แหล่งอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระคือ ผัก ผลไม้ และธัญพืชต่างๆ (ถั่วต่างๆ ลูกเดือย ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์) ผัก-ผลไม้ควรรับประทานทุกวัน ถ้าเป็นผักสุกมื้อหนึ่งประมาณหนึ่งทัพพี ถ้าเป็นผักสดประมาณหนึ่งถ้วยข้าวต้มอย่างน้อย ถ้ารับประทานได้มากขึ้นก็เป็นสิ่งที่ดีมากขึ้น สำหรับผลไม้ปริมาณที่เหมาะสมคือกินให้ได้ 2-3 ครั้ง/วัน ถ้าเป็นผลไม้ลูกกลมๆ เช่น แอปเปิล ให้กินหนึ่งผลต่อหนึ่งมื้อ ถ้าเป็นผลไม้ลูกโตๆ เช่น สับปะรด แตงโม มื้อหนึ่งควรกินให้ได้ประมาณ 8 คำ


  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อมะเร็ง เช่น อาหารที่มีการเติมสารถนอมอาหารต่างๆ เช่น สารกันบูด สารกันเชื้อรา


  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเชื้อราปนเปื้อน นอกจากดูวันผลิตและวันหมดอายุซึ่งเป็นหลักสำคัญ รองลงไปคือสังเกตด้วยตาเปล่า ถ้ามีเชื้อราเพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรรับประทานแล้ว อาหารที่เลยกำหนดวันหมดอายุไปเพียงเล็กน้อยก็อาจมีเชื้อราที่มองไม่เห็นด้วย ตาเปล่าเกิดขึ้นได้เช่นกัน


  • หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัดหวานจัด


  • หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่ให้ไขมันมากเกินไป อาหารที่มีไขมันสูง การได้รับไขมันในปริมาณมากเกินไป คือเกิน 30-35% ของพลังงานที่เราได้รับทั้งหมด โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว ไขมันที่มาจากสัตว์ อาจมีผลทำให้เกิดมะเร็งได้ เป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่ง


  • หลีกเลี่ยงอาหารประเภทปิ้ง-ย่างหรือเผาไหม้จนเกรียม โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ เนื่องจากไขมันในสัตว์เนื้อแดงและสัตว์ปีกเมื่อเจอกับความร้อนจะเกิดสารออกซิเดชั่น เป็นสารแห่งความเสื่อม ซึ่งจะทำให้เกิดโรคในกระบวนการความเสื่อมต่างๆ เช่น ทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็งแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่าอาหารปิ้ง-ย่างเป็นอันตรายจน กระทั่งกินไม่ได้ ยังสามารถกินได้ใน ปริมาณพอเหมาะ ที่สำคัญคือ ไม่ควรกินติดต่อกันเป็นประจำ (หรือที่เรียกว่ากินซ้ำซาก) เพราะเท่ากับเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งมากขึ้น แต่ถ้าหลีกเลี่ยงได้จะเป็นการดีที่สุด

นุชธิดา สมัยสงฆ์ ให้ความเห็นไว้ด้วยว่า ถ้าย้อนกลับไปดูในอดีต ผัก-ผลไม้ เป็นสิ่งที่คนไทยกินทุกวัน คนสมัยก่อนถ้าไม่กินผักกินข้าวไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่สมัยนี้เราไม่กินผัก-ผลไม้ บางคนไม่เคยคิดว่าวันนี้กินผัก-ผลไม้ไปหรือยัง คือกินไปตามความอยาก โดยที่ไม่ได้ดูว่ามีส่วนประกอบอะไรในอาหารบ้าง เช่น ถ้าเรากินข้าวมันไก่ มีแตงกวาสองสามชิ้น ก็ไม่ใช่ปริมาณที่เพียงพอ ตอนเย็นก็ไปกินพิซซ่า แต่ไม่ตักสลัด ก็ไม่ได้ผักอีก ตอนเช้าดื่มนมแค่กล่องเดียว ก็ไม่มีผัก ถามว่ากินผลไม้หลังอาหารหรือเปล่า...ก็ไม่ เลือกกินเป็นขนม บางคนก็ดื่มน้ำหวาน น้ำเปล่าก็ได้รับน้อยลง เหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งอันเนื่องจากการรับประทานอาหาร ที่ไม่เหมาะสมในชีวิตประจำวันนอกจากเลี่ยงอาหารที่เป็นปัจจัยเสี่ยง ต่อการทำให้เกิดมะเร็ง คราวนี้ลองมาพิจารณาว่าจะกินอาหารอย่างไรเพื่อช่วยให้ห่างไกลจากมะเร็ง ซึ่งมีคำแนะนำเบื้องต้นดังนี้


  • เลือกกินอาหารที่มาจากพืชเป็นส่วนใหญ่ การรับประทานอาหารในแต่ละมื้อควรมีผักและผลไม้ทุกครั้ง (อาหารที่มีกากใยสูง)


  • ควรรับประทานผักให้มีความหลากสี (ไม่ควรรับประทานชนิดเดียวซ้ำๆ) เช่น ผักสีขาว ได้แก่ หอมใหญ่ ผักกาดขาว ดอกแค กะหล่ำปลี, ผักสีเขียว ได้แก่ บร็อกโคลี ถั่วฝักยาว คะน้า ผักบุ้ง, ผักสีแดง ได้แก่ มะเขือเทศ แครอท, ผักสีเหลือง ได้แก่ ข้าวโพดอ่อน ฟักทอง, ผักสีม่วง ได้แก่ มะเขือม่วง


  • หากต้องการโปรตีน ลองหันมากินโปรตีนจากพืช เช่น เห็ด ถั่วเหลือง สลับกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์


  • เลือก รับประทาน 'อาหารว่าง' ที่ประกอบจากผักหรือผลไม้ แทนขนมหวาน เช่น ผลไม้สด ผลไม้ลอยแก้ว น้ำส้มคั้นสด น้ำบีทรูท น้ำฟักทอง น้ำแครอท

ใครๆ ก็รู้ว่าป้องกันไว้ก่อนดีกว่ามาตามแก้ไขภายหลัง แต่คนเรามักชะล่าใจ ปล่อยตัวตามใจปากตามใจอยาก อย่างไรก็ตาม 'มะเร็ง' นอกจากต้องระวังเรื่องอาหารการกิน เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ยังมีเรื่องของ 'สิ่งแวดล้อม' และ 'ความเครียด' เข้ามาเป็นปัจจัยอีกด้วย


เมนูอาหารต้านมะเร็ง :

1. สไปซี่นัทส์ (Spicy Nuts)
ส่วนผสม: ถั่วบราซิล 140 กรัม ถั่วเฮเซล 115 กรัม ถั่วอัลมอนด์ 140 กรัม มะม่วงหิมพานต์ 140 กรัม ถั่วพีแคน 110 กรัม น้ำพริกแกงแดง 4 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ สาหร่ายโนริอบแห้ง 1 แผ่น เกลือปรุงรส (เล็กน้อย)
วิธีทำ: ผสมถั่วทั้งหมดลงในโถคลุกอาหาร ตามด้วยน้ำพริกแกงแดง น้ำผึ้ง เกลือ คลุกเคล้าจนเข้ากันดี เทใส่ถาดอบ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 15-20 นาที หรือจนถั่วเป็นสีเหลืองสวย ทิ้งให้เย็น ม้วนสาหร่ายให้แน่น หั่นตรงกลางความยาว ซ้อนสาหร่ายแล้วหั่นเป็นเส้นๆ (หรือใช้กรรไกรตัดก็ได้) ผสมกับถั่วใส่ไว้ในขวดโหลกันอากาศ เก็บไว้รับประทานเป็นของว่าง
คุณค่าอาหาร: ถั่วเปลือกแข็งชนิดต่างๆ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญต่อการป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก คือ ซีลีเนียมและวิตามินอี เส้นใยอาหารสูงในถั่วยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้อีกด้วย


2. แซลมอนดิ๊ปอโวคาโด (Salmon dip Avocado)
ส่วนผสม: กระเทียม 1 กลีบ อโวคาโด 1 ผล แซลมอนนึ่งสุก 100 กรัม เต้าหู 125 กรัม มะเขือเทศบด 1 ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูสดสับ 1/2 ช้อนชา พาร์สลีสดสับ 1 ช้อนชา มะเขือเทศ 1 ลูก ขนมปังโฮลวีต
วิธีทำ: ทุบกระเทียมแล้วบดให้ละเอียด ปอกอโวคาโดแล้วหั่นเป็นชิ้นๆ ใส่ลงในเครื่องบด ตามด้วยเนื้อปลา เต้าหู มะเขือเทศบด พริกขี้หนู ปั่นให้ละเอียด ตักใส่จาน หั่นมะเขือเทศเป็นชิ้นเล็กๆ ผสมกับพาร์สลี่ไว้สำหรับตกแต่ง รับประทานกับขนมปังปิ้ง
คุณค่าอาหาร: สารไลโคพีนซึ่งพบมากในมะเขือเทศ เมื่อทำงานร่วมกับวิตามินอี ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก สารไฟโตเอสโตรเจนจากเต้าหู้ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเต้านม วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันมะเร็ง


3. แกงกะหรี่ผัก
ส่วนผสม: กะหล่ำดอก 1/4 หัว บร็อกโคลี 1 หัว บรัซเซลสเปราท์ 8 หัว แอสพารากัส (หรือจะใช้ถั่วแขกก็ได้) 2 ก้าน ฟักทอง 200 กรัม หอมหัวใหญ่ 2 หัว กระเทียม 4 กลีบ น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ ผงแกงกะหรี่ 1 ช้อนโต๊ะ มะเขือเทศกระป๋องหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 800 กรัม น้ำซุปผัก 2 ถ้วย มะเขือเทศบดในกระป๋อง 2 ช้อนโต๊ะ เกลือหรือน้ำปลา 1 ช้อนชา ผักชีสับหยาบ 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: ตัดดอกกะหล่ำและบร็อกโคลีเป็นช่อเล็กๆ หั่นครึ่งบรัซเซลสเปราท์ ตัดยอดแอสพารากัสหั่นผ่ากลาง (ถ้าใช้ถั่วแขก เล็มปลายถั่วและหั่นครึ่งตามขวาง) หั่นฟักทองเป็นชิ้นพอดีคำ หั่นหอมหัวใหญ่เป็นแว่น ทุบกระเทียม ตั้งน้ำมันในกระทะเพื่อผัดผักทั้งหมด เริ่มจากผัดหัวหอมใหญ่และกระเทียมประมาณห้านาที ใส่ผงกะหรี่ ผัดต่อไปหนึ่งนาทีจนเริ่มหอม ใส่มะเขือเทศ น้ำซุปผัก มะเขือเทศบดและเกลือ ต้มต่อจนเดือด ใส่ฟักทอง ต้มต่อห้านาที ตามด้วยบร็อกโคลี บรัซเซลสเปราท์ แอสพารากัส ต้มต่ออีก 10-15 นาที หรือจนผักนุ่มขึ้น เสิร์ฟร้อนๆ แต่งหน้าด้วยผักชี
คุณค่าอาหาร: เบต้าแคโรทีนเป็นสารมีสีพบในผักสีเข้ม มีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม สารไลโคพีนเมื่อทำงานร่วมกับวิตามินอีช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก, สารอินโดล (พบในบร็อกโคลี) อาจช่วยป้องกันมะเร็งที่สัมพันธ์กับฮอร์โมน เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก, ไดอัลลิลซัลไฟด์ (มีในหอมหัวใหญ่) ช่วยเพิ่มระดับเอนไซม์ที่ต่อสู้กับมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งในกระเพาะอาหาร วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันมะเร็ง
เคล็ดลับ: การนำผักสดมาปรุงอาหารควรใช้วิธีนึ่ง ผักจะคงคุณค่าสารอาหารไว้ได้มากกว่าวิธีการลวก


เครื่องดื่ม Citrus Drink
ส่วนผสม: น้ำส้มเกรฟฟรุตคั้น 1/2 ถ้วย มะละกอหั่นชิ้น 1 ถ้วย น้ำส้มคั้น 1 ถ้วย น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย
วิธีทำ: ปั่นส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันให้ละเอียด รินใส่แก้วพร้อมดื่มคุณค่าอาหาร: เบต้าแคโรทีนมีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันมะเร็ง


ที่มา : ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ
http://www.bangkokhospital.com
http://www.bangkokhealth.com

5.6.52

วันนี้ไปบริจาคเลือดมา... ครั้งแรกเลย

สุขภาพดีด้วยการบริจาคโลหิต
นอกจากความภูมิใจที่ได้แบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่นโดยทางอ้อมแล้ว เชื่อไหมว่าการบริจาคเลือดยังช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย เลือดประกอบด้วยพลาสมา (น้ำเหลือง) และเม็ดเลือด คิดเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว คือ 5-6 ลิตรสำหรับผู้ชาย และ 4-5 ลิตรสำหรับผู้หญิง หรือประมาณ 17-18 แก้วน้ำ ไขกระดูกเป็นอวัยวะตั้งต้นที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือด 3 ชนิด อันได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด เพื่อทำหน้าที่แตกต่างกันไปในร่างกาย
เม็ดเลือดแต่ละชนิดจะมีอายุการทำงานที่ชัดเจนคือ เม็ดเลือดแดงมีอายุ 120 วัน เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดมีอายุ 5-10 วัน เมื่อถึงเวลาที่กำหนด เม็ดเลือดจะถูกทำลายและขับถ่ายออกมาในรูปของเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ หลังจากนั้นไขกระดูกจึงสร้างเซลล์เม็ดเลือดชุดใหม่ขึ้นมาทดแทนได้โดยไม่มีวันหมด ปริมาณเลือดที่มีในร่างกายเป็นปริมาณที่ถูกสร้างขึ้นมาให้เกินกว่าความต้องการใช้ที่แท้จริง เพราะร่างกายต้องการใช้เพียง 15-16 แก้วน้ำเท่านั้น ส่วนเลือดอีก 2-3 แก้วน้ำเป็นปริมาณสำรองเพื่อรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ดังนั้นการบริจาคเลือดซึ่งนำเลือดออกมาประมาณ 350-450 มิลลิลิตร จึงเป็นการนำเลือดสำรองออกมาโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ แก่ร่างกาย เพราะไขกระดูกจะสร้างเลือดขึ้นมาทดแทนปริมาณที่ถูกถ่ายเทออกไป ทำให้เกิดประโยชน์โดยทางอ้อมคือ
ร่างกายได้เม็ดเลือดใหม่ ซึ่งแข็งแรงและทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่า ทำให้เม็ดเลือดแดงลำเลียงออกซิเจนได้เต็มที่ เม็ดเลือดขาวทำลายสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น และเกล็ดเลือดซ่อมแซมรอยฉีกขาดในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

กระตุ้นการทำงานของไขกระดูก เปรียบเหมือนการออกกำลังกายให้กับไขกระดูกได้ทำงานดีขึ้น

ได้ตรวจสุขภาพทางอ้อม เพราะเมื่อมีการได้รับเลือดแล้ว ทางสภากาชาดจะต้องตรวจความสมบูรณ์ของเลือด ตรวจหาภาวะติดเชื้อต่างๆ เท่ากับผู้บริจาคได้รู้ภาวะสุขภาพของตนเองในขณะนั้นด้วย

ลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน การวิจัยในประเทศฟินแลนด์พบว่า การบริจาคโลหิตช่วยลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันในเพศชายได้ถึง 88 เปอร์เซ็นต์ เพราะโรคนี้มีความสัมพันธ์กับปริมาณธาตุเหล็กที่สะสมในร่างกาย หากมีสะสมมาก โอกาสเสี่ยงย่อมสูง เนื่องจากธาตุเหล็กส่งผลให้ไขมันทำปฏิกิริยาออกซิเจนจนหลอดเลือดตีบและกลายเป็นอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน การบริจาคเลือดจึงช่วยให้ร่างกายลดภาวการณ์สะสมธาตุเหล็ก ซึ่งเท่ากับลดความเสี่ยงโรคหัวใจลงด้วยนั่นเอง การบริจาคเลือดทุก 3 เดือน จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะช่วยให้คุณมีสุขภาพดีขึ้นได้ด้วยตนเอง
ที่มา : นิตยสาร HEALTH & CUISINE ปีที่ 4 ฉบับที่ 47 ธันวาคม 2547 หน้า 32

26.6.51

คุณค่าของ "ถั่ว" ชนิดต่างๆ



พวกเราคงจะได้ยินคำแนะนำให้กินถั่วเปลือกแข็ง (nut / นัท) วันละ 1 ฝ่ามือเล็กๆ หรือน้อยกว่า 1 ฝ่ามือหน่อย เพื่อสุขภาพ
วันนี้มีข่าวดีจากหน่วยงานโภชนาการออสเตรเลียคือ ถั่วลิสง (peanut) ก็มีดีพอๆ กับถั่วเปลือกแข็ง (nut / นัท) เหมือนกัน ต่างกันที่ราคาถูกกว่า และหาซื้อได้ง่ายในบ้านเรา

เว็บไซต์ทางด้านโภชนาการออสเตรเลีย (www.nutritionaustralia.org) กล่าวว่า ถั่วลิสงมีคุณค่าทางอาหารใกล้เคียงกับนัท(ถั่วเปลือกแข็ง) เช่น อัลมอนด์ บราซิลนัท เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ฯลฯ

ข้อดีเป็นพิเศษของนัท(ถั่วเปลือกแข็ง) เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และถั่วลิสงได้แก่

มีเส้นใย(ไฟเบอร์) โปรตีน สารพฤกษเคมี(สารคุณค่าพืชผัก) และสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) สูง
มีไขมันชนิดเลว หรือไขมันอิ่มตัวต่ำ

มีไขมันชนิดดีมาก หรือไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (monounsaturated fatty acids / MUFA) สูง ไขมันชนิดนี้ช่วยลดโคเลสเตอรอลชนิดร้าย (LDL) และมีแนวโน้มจะช่วยเพิ่มโคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL)

คุณสมบัติของนัท(ถั่วเปลือกแข็ง) เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และถั่วลิสงปรากฏดังตาราง (ตารางที่ 1) คุณสมบัตินี้จะด้อยลงไปมากถ้านำไปทอด เนื่องจากน้ำมันชนิดดีจะซึมออกมา และน้ำมันที่ใช้ทอดจะซึมเข้าไป
ตารางที่ 1: แสดงปริมาณไขมันในนัท(ถั่วเปลือกแข็ง) เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และถั่วลิสง ไขมันชนิดดีมากหรือ monounsaturated fatty acid / MUFA) และไขมันชนิดเลวหรือไขมันอิ่มตัว

อาหาร: ไขมันทั้งหมด(%)/ ไขมันอิ่มตัว(%)/ ไขมัน MUFA(%)

อัลมอนด์: 52/ 5.20/ 35.36
บราซิล นัทส์: 66/ 17.16/ 23.76
เม็ดมะม่วงหิมพานต์: 46/ 9.20/ 28.52
เฮเซล นัทส์: 63/ 5.04/ 51.66
มาคาดาเมีย นัทส์: 74/ 11.84/ 60.68
ถั่วลิสง: 49/ 7.35/ 24.99
พีแคนส์: (Pecans) 68/ 5.44/ 44.88
ไพน์ นัทส์: 61/ 9.15/ 24.40
พาสทาชิโอ: 48/ 6.24/ 34.56
วอล นัทส์: 62/ 6.20/ 14.88

จากตารางข้างต้น จะเห็นว่า ถั่วเปลือกแข็ง(นัทส์) เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และถั่วลิสงส่วนใหญ่มีไขมันอิ่มตัว ซึ่งเป็นไขมันชนิดไม่ดีต่ำ มีไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (MUFA) หรือไขมันชนิดดีมากสูง

นอกจากนั้นยังมีคุณประโยชน์พิเศษอื่นๆ อีก เช่น
บราซิล นัทส์มีวิตะมินบี 1 และเซเลเนียม(ช่วยป้องกันมะเร็ง)สูง
เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีธาตุเหล็ก(ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง และสังกะสีช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค)

ถั่วลิสงมีวิตะมินบี 2,3 แคลเซียม และวิตะมินอีสูง
พาสทาชิโอส์มีสารพฤกษเคมี หรือสารคุณค่าพืชผัก (plant sterols) ที่ช่วยลดการดูดซึมโคเลสเตอรอลจากอาหารเข้าไปในร่างกาย

ถั่วลิสงมีค่าดัชนีน้ำตาล (glycemic index / GI) ต่ำมากคือ 14 ต่ำกว่าข้าวขาว (70) และข้าวกล้อง (55)

ถั่วลิสงเป็นอาหารที่ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นช้าๆ เหมาะกับการนำไปใช้เสริมการลดความอ้วน เพราะทำให้อิ่มได้นาน

อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูง เช่น น้ำตาลกลูโคส (GI = 100) ฯลฯ ทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นเร็ว-ลงเร็ว ทำให้หิวบ่อย

อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ถั่วลิสง (GI = 14) ฯลฯ ทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นช้า-ลงช้า ทำให้อิ่มนาน

ข้อควรระวังสำหรับการเตรียมถั่วลิสงคือ ต้องเลือกเมล็ดถั่วที่ดี เตรียมแล้วทิ้งไว้ให้เย็น เก็บในภาชนะปิดสนิท เก็บในที่เย็นและแห้ง เช่น ตู้เย็น ฯลฯ และไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 1 เดือน เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อรา ซึ่งอาจมีสารก่อมะเร็ง (อะฟลาทอกซิน) ปนเปื้อนได้

ข้อควรระวังสำหรับถั่วเปลือกแข็ง(นัทส์) เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และถั่วลิสงคือ "น้อยไว้ละดี" ไม่ควรกินเกินครั้งละ 1 ฝ่ามือน้อยๆ (ไม่รวมนิ้วมือ) เคี้ยวช้าๆ เพื่อให้เกิดความรู้สึก "อิ่ม" ถ้าต้องการนำไปใช้ลดความอ้วน... ให้เดินหลังกินถั่วลิสง 10-20 นาทีทุกครั้ง จึงจะได้ผลดี

ถึงตรงนี้ขอให้พวกเรามีความสุขกับการกินถั่วเปลือกแข็ง(นัทส์) เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และถั่วลิสงชนิดที่เตรียมมาอย่างดี และไม่ผ่านการทอดครับ…

ข้อมูลจาก http://gotoknow.org/blog/health2you

มะม่วงหิมพานต์ (cashew nut)


มะม่วงหิมพานต์ (Anacardium occidentale) เป็นไม้ดอกยืนต้น ในวงศ์Anacardiaceae มะม่วงหิมพานต์เป็นพืชพื้นเมืองของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล ซึ่งเรียกเป็นภาษาโปรตุเกสว่า Caju (ผล) หรือ Cajueiro (ต้น) ปัจจุบันเติบโตแพร่หลายทั่วไปในภูมิภาคเขตร้อน เพื่อใช้ประโยชน์จากเมล็ด และผลของมัน

เมล็ดมะม่วงหิมพานต์นับเป็นส่วนประกอบอาหารหลายชนิดในเอเชีย อาจบดให้ป่น เป็นเนยเมล็ดมะม่วงสำหรับใช้ทาขนมปังแบบเดียวกับเนยถั่วก็ได้ เมล็ดมะม่วงนี้มีน้ำมันพืชสูงมาก มีการนำไปใช้ในเนยถั่วอื่นๆ บาง ชนิด เพื่อเพิ่มน้ำมันพิเศษ เมล็ดมะม่วงบรรจุหีบห่อที่พบในสหรัฐอเมริกา ปริมาณ 30 กรัม มีพลังงาน 180 แคลอรี (750 กิโลจูล) โดยมีไขมัน 70%

ในเมล็ดมะม่วงหิมพานต์นี้ก็มีประโยชน์อยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อเทียบกับถั่วเปลือกแข็งด้วยกัน มะม่วงหิมพานต์ถือว่ามีไขมันน้อยกว่ามาก คือ 47% เท่านั้น ทำให้เมื่อแกะเปลือกออกแล้วเก็บได้นาน ไม่เหม็นหืน แถมไขมันในเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ก็ยังเป็นไขมันชนิดดีถึงกว่า 75% และมีแร่ธาตุที่สำคัญอย่างฟอสฟอรัสและแมกนีเซียม อีกทั้งยังมีวิตามินอีในปริมาณมากเท่าๆ กับในถั่วลิสง แถมยังมีเส้นใยมากถึง 16 กรัม ต่อเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ 100 กรัมอีกด้วย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี และผู้จัดการออนไลน์

เล่นกล้าม เพิ่ม เมตาบอลิซึม



เมตาบอลิซึม คือกระบวนการในสิ่งทั้งหลายที่เราทำ หรือที่เกิดขึ้นในร่างกายเรา ที่ต้องใช้พลังงานจากอาหารที่เรากินเข้าไป เช่น การหายใจ การคิด การย่อยอาหาร การเต้นของหัวใจ เดิน หรือการเล่นกีฬา กิจกรรมที่ใช้พลังงานเหล่านี้นี่เอง จะเป็นตัวกำหนดว่าคน จะอ้วน จะผอม จะเหลือไขมันพอกพูนอยู่ในร่างกายมากน้อยแค่ไหน

เมื่อคุณอายุราวๆ 30 ปี เมตาบอลิซึม ของร่างกายจะเริ่มลดลงราว 5 % ต่อปี นั่นหมายความว่า ถ้าคุณกินอาหารเท่าเดิม แต่คุณก็อ้วนขึ้นๆ จนต้องเปลี่ยน ไซด์ เสื้อผ้าให้ใหญ่ขึ้น เมื่อเรายิ่งอายุมากขึ้นมวลกล้ามเนื้อในร่างกายเรามันลดลง ทั้งนี้เป็นเพราะเราออกกำลังกายน้อยลง

ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ คาดคะเนว่า ทุกๆ 1 ปอนด์ของกล้ามเนื้อที่หายไป ทำให้การเผาผลาญพลังาน ลดลงไป 30 แคลอรี่ต่อวัน ผู้หญิงตอนอายุไกล้หมดประจำเดือน จะสุญเสียมวลกล้ามเนื้อไปราวครึ่งปอนด์ต่อปี แต่พอหมดประจำเดือนแล้วจะสูญเสียราว 2 เท่า ยิ่งถ้าเป็นคนที่ไม่ออกกำลังกายด้วยแล้ว พออายุ 65 ปี ก็อาจสูญเสียมวลกล้ามเนื้อไปถึงครึ่งหนึ่ง ของที่เคยมีตอนยังสาว ทำให้ความสามารถในการเผาผลาญอาหารลดลง วันละ 200-300 แคลอรี่เป็นผลให้อ้วนง่าย

การเพิ่มการเผาผลาญพลังงานไขมันเมื่อเราอายุมากขึ้นที่ ง่ายๆ คือ การเพิ่มการออกกำลังกายโดยการเล่นกล้าม ไม่แนะนำให้ไปวิ่งไปเดิน เพราะแม้เป็นสิ่งดี แต่ก็เป็นเพียงการใช้กล้ามเนื้อเฉพาะบางมัดเท่านั้น

ถ้าท่านเล่นกล้ามให้กล้ามเนื้อให้กล้ามเนื้อในแต่ละส่วนโตขึ้น แข็งแรงขึ้น จะทำให้การเผาผลาญพลังงานของท่านเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว การเล่นกล้ามเช่น อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ภายในไม่กี่เดือน จะทำให้กล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น เท่ากับที่สูญเสียไปใน 5-10 ปี การเล่นกล้ามจึงเป็นวิธีสร้างความหนุ่มสาวให้เกิดขึ้นอย่าง ง่ายๆ และรวดเร็ว

สำหรับผู้หญิงก็สามารถเล่นกล้ามได้ ผู้หญิงอาจจะเลือกเล่นกล้ามโดยไม่ทำให้แลดูน่าเกลียดก็ได้ คือเล่นกล้ามเนื้อที่ไม่มีไครมองเห็นได้ชัดเจนจากภายนอก เช่น กล้ามเนื้อหน้าท้อง ซึ่งจะทำให้ทรวดทรง องค์เอวดีขึ้น หรือถ้าเล่นกล้ามเนื้อหน้าอก ก็จะช่วยเสริมให้เต้านมดูสูงขึ้นเป็นสง่าราศีโดยไม่ต้องไปเสริมเต้าให้เสียเงิน นอกจากนี้ยังมี กล้ามเนื้อแก้มก้น กล้ามเนื้อหลัง ที่สามารถพัมนาให้โตขึ้น เพื่อการเผาผลาญพลังาน เพื่อลดใขมัน กล้ามเนื้อที่ว่า นี้มันซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อผ้า คนอื่นไม่เห็นก็ไม่ต้องกลัวน่าเกลียด ส่วนกล้ามเนื้อแขนกล้ามเนื้อน่องก็เพลาๆลงมาหน่อย อย่าให้มันโตขึ้น

การเล่นกล้ามที่ว่านี้ทำได้ไม่ยาก ไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินให้ศูนย์ฟิตเนท เพียงซื้อ ดัมเบลล์ ขนาดพอเหมาะซักชุด กับม้านั่งยาวสักตัว ก็สามารถเล่นกล้ามได้เกือบทุกมัดแล้ว

สำหรับคนที่ชอบกิน ถ้าไม่ได้กินแล้วไม่มั่นใจ ขอกินเพื่อให้การเผาผลาญพลังงานมากขึ้น ก็อาจลองในสิ่งต่อไปนี้ที่ไม่ค่อนอันตรายคือ

+ พริกแดง เคยมีการทดลองที่ญี่ปุ่นพบว่า พริกแดงที่มีรสเผ็ด สามารถเพิ่มเมตาบอลิซึ่มได้ 30 % แต่ข้อเสียคือต้องกินมาก ถ้าคุณเป็นคนชอบกินเผ็ดต้องระวังข้อเสียของมันคือทำให้เรากินข้าวมากขึ้น

+ ชาเขียว ได้รับการทดลองที่ สวิทเซอร์แลนด์ ว่า ถ้ากิน 3 เวลาหลังอาหาร จะเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น 80 แคลอรี่ใน 24 ชั่วโมงเมื่อเปรียบเทียบกับคาแฟอีนชนิดเม็ดหรือยาหลอก

+ คาแฟอีนในกาแฟ ก็เป็นสารอีกตัวหนึ่งที่เพิ่มการเผาผลาญพลังงานได้ กาแฟแก้วนึง (8ออนด์) สามารถเพิ่มเมตาบอลิซึ่มได้นาน 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะถ้ากินก่อนออกกำลังกายจะช่วยทำให้มีชีวิตชีวามากขึ้น คาแฟอีนมีฤทธิ์ไปละลายไขมันออกมาในกระแสเลือด ทำให้มันเป็นอิสระและถูกทำลายได้โดยง่าย

คัดลอกมาจาก http://www.thaifitway.com

ทุเรียนมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าไม้ผลหลายชนิด



ในขณะที่คนไทยยกย่องให้ “ทุเรียน” เป็นราชาและ “มังคุด” เป็นราชินีแห่งผลไม้

เป็นที่ยอมรับกันว่าทุเรียนไทยมีรสชาติอร่อยและคุณภาพดีที่สุดในโลก ปัจจุบันมีการส่งออกไปขายยังสาธารณรัฐประชาชนจีนมากที่สุด ระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคมของทุกปี ทุเรียนจากเขตพื้นที่ ภาคตะวันออกจะออกสู่ตลาด คนไทยนิยมบริโภคทุเรียนกันมากมีผลทำให้ผลไม้ชนิดอื่น ๆ ที่ออกสู่ตลาดในช่วงเวลาเดียวกันมีราคาตกต่ำ ในขณะเดียวกันมักจะมีคำเตือนจากหมอว่าไม่ควรกินทุเรียนในปริมาณมากเกินไป บ้างก็ว่าในเนื้อทุเรียนมีปริมาณแป้งและไขมันสูง เป็นของแสลงของผู้ป่วยโรคเบาหวาน, โรค ความดันโลหิตสูงและคนที่กลัวอ้วนทั้งหลาย

ขณะนี้มีเรื่องที่น่ายินดีที่จะทำให้คนที่บริโภคทุเรียนได้สบายใจขึ้น

เพราะทุเรียนไม่ได้มีแต่เพียงความอร่อยอย่างเดียว รศ.ดร.ระติพร หาเรือนกิจ, รศ.ดร.สุมิตรา ภู่วโรดม จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมกับ Professor Dr.Shela Gorinstein จากมหาวิทยาลัยฮิบบรูและคณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยการเกษตรวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ ได้ทำการศึกษาเชิงลึกของประโยชน์จากทุเรียนมีส่วนในการลดไขมัน ในเส้นเลือดในห้องปฏิบัติการและเมื่อทดลองกับหนูพบว่า ทุเรียนมีสารโพลีฟีนอลและสารฟลา โวนอยด์ ในปริมาณสูงเมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น โดยสารทั้ง 2 ชนิดนี้มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ

จากงานทดลองพบว่า

ทุเรียนที่มีความสุกพอดีจะมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าทุเรียนดิบหรือทุเรียนที่สุกเกินไป (ที่เรียกกันทั่วไปว่าทุเรียนปลาร้า) และยังพบว่าทุเรียน พันธุ์หมอนทอง มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระดีกว่า พันธุ์ชะนี และ พันธุ์ก้านยาว นอกจากนั้นเมื่อมีการตรวจวิเคราะห์ แร่ธาตุอาหารที่มีอยู่ในเนื้อทุเรียน อ.สุมิตรา บอกว่า ทุเรียนมีปริมาณเส้นใยอาหารและธาตุเหล็กสูงมากซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เมื่อมีการเปรียบเทียบทุเรียนพันธุ์หมอนทองกับผลไม้เมืองร้อนชนิดอื่น พบว่ามีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่า สละ, มังคุด, ลิ้นจี่, ฝรั่ง และมะม่วงสุก ตามลำดับ

คณะผู้วิจัยยังได้นำทุเรียนไปเลี้ยงหนูทดลอง

ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่พิสูจน์ว่าทุเรียนมีดีจริงไม่ใช่ เพียงข้อมูลในห้องปฏิบัติการเท่านั้น จากการเลี้ยงหนูทดลองด้วยอาหารที่ผสมทุเรียนกับคอเลสเตอรอล พบว่า หนูทดลองที่ได้รับทุเรียนหมอนทองในอาหาร สามารถลดสารคอเลสเตอรอลทั้งหมดได้ 16% และลด LDL คอเรสเตอรอลได้ถึง 31.3% เมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ได้รับอาหารที่มีคอเลสเตอรอล ผสมอย่างเดียว จากการทดลองในครั้งนี้ทำให้พบว่าถึงแม้ว่าในเนื้อทุเรียนจะมีปริมาณไขมันมากแต่ส่วนใหญ่เป็นไขมันดีที่มีประโยชน์ ต่อร่างกาย

จากงานทดลองในครั้งนี้ทำให้เห็นว่าทุเรียนจัดเป็นผลไม้ไทยอีกชนิดหนึ่งที่สามารถบริโภคเป็นอาหารและยาจัดเป็นผลไม้สุขภาพอีกชนิดหนึ่งของไทยแต่ควรจะบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2326-4100.


เนื้อหาข่าว โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

น้ำตาลกลูโคส และ ฟรุคโทส (น้ำตาลผลไม้)

คุณสมบัติทางเคมีบางประการของน้ำตาลกลูโคส และ ฟรุคโตส(น้ำตาลผลไม้)

น้ำตาลกลูโคส เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ที่สำคัญที่สุดในพวกคาร์โบไฮเดรต เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญในพืชและสัตว์ เป็นน้ำตาลที่หวานน้อยกว่าน้ำตาลซูโครส ในธรรมชาติจะพบอยู่ในรูปของ D-form (D-glucose) มีอีกชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “เดกซ์โทรส (dextrose)” ซึ่งมักจะเป็นชื่อที่ใช้เรียกแทนน้ำตาลกลูโคสในน้ำผึ้งและในอุตสาหกรรมอาหาร เป็นน้ำตาลที่พบอยู่ในกระแสเลือดเสมอ และเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีผลต่อการลดระดับน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือด คนปรกติจะมีน้ำตาลกลูโคสในเลือด 70-110 มิลลิกรัม ต่อ เลือด 100 มิลลิลิตร หากเกินกว่านี้จะเป็นโรคเบาหวาน (diabetics)

น้ำตาลฟรุคโตส เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ที่รู้จักกันในนาม “น้ำตาลผลไม้” เป็นน้ำตาลที่พบมากในผลไม้ ผัก และน้ำผึ้ง ฟรุคโตสเป็นแหล่งพลังงานในร่างกาย สามารถเปลี่ยนเป็นกลูโคสได้โดยตับและลำไส้เล็ก ละลายน้ำได้ดีกว่ากลูโคส เป็นน้ำตาลที่หวานที่สุด หวานกว่าน้ำตาลกลูโคสประมาณ 2 เท่า และหวานกว่าน้ำตาลซูโครส แต่ให้พลังงานเพียงครึ่งเดียวของซูโครส จึงมักใช้แทนน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ในธรรมชาติจะพบอยู่ในรูปของ D-form (D-fructose) มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ลีวูโลส (Levulose) ซึ่งมักใช้เรียกชื่อแทนน้ำตาลฟรุคโทสในอุตสากรรมอาหารและน้ำผึ้ง

ผู้เขียน : อาจารย์สมลักษณ์ วงศ์สมาโนดน์ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
โทร 0-5526-1001-4 ต่อ 3330มือถือ 0-9860-2155

25.6.51

น้ำผึ้ง (Honey)

น้ำผึ้งจัดเป็นอาหารที่มนุษย์รู้จักมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีสรรพคุณทางยาและคุณค่ามาก แม้แต่ในสมัยพุทธกาลมีการถวายข้าวมธุปายาส ซึ่งมีการผสมด้วยน้ำผึ้ง ทำให้พระวรกายของพระพุทธเจ้ากลับมาสมบูรณ์แข็งแรง นอกจากจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว น้ำผึ้งยังมีประโยชน์กับความสวยความงามอีกด้วย

น้ำผึ้งเกิดจากการที่ผึ้งนำน้ำจากเกสรดอกไม้ที่เป็นน้ำหวานจากธรรมชาติมาแล้วใช้กรด Enzyme ในห้องผึ้งเปลี่ยนแปลงมาเป็นน้ำผึ้ง ซึ่งน้ำผึ้งที่ได้มานั้นย่อมขึ้นอยู่กับวัตถุดิบหรือชนิดของเกสรดอกไม้ที่ผึ้งได้ไป รวมถึงแหล่งของพืชและพื้นดินนั้น ๆ ที่ผึ้งเจริญเติบโตอยู่ เพราะฉะนั้นน้ำผึ้งที่ได้จากรังผึ้งในป่าใหญ่ จึงมีความสมบูรณ์และมีแร่ธาตุอาหารที่แตกต่างจากน้ำผึ้งเลี้ยง ส่วนน้ำผึ้งเลี้ยงจะมีการเติมน้ำหวานจากน้ำตาลและเกสรเทียมซึ่งทำให้คุณค่าลดน้อยลงไป วิธีสังเกตว่าเป็นน้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติทำได้โดยการนำน้ำผึ้งใส่ไว้ในขวด ตั้งทิ้งไว้สักพัก จะพบว่ามีเกสรดอกไม้ลอยอยู่ด้านบน ซึ่งเป็นลักษณะตามธรรมชาติของน้ำผึ้งป่านั่นเอง

คุณประโยชน์ของน้ำผึ้ง ในน้ำผึ้งมีสารเอนติออกซิเดนท์ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียวและยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพและช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ แร่ธาตุที่กล่าวมาล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกายที่จะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำรุงโลหิต ช่วยปรับสมดุลร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ผู้ที่รักสุขภาพและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือโรคอ้วน สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งได้มีการพิสูจน์และใช้กันมานานในอเมริกาและยุโรป โดยนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Honey) 3 ช้อนชา และน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ลไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Apple Cider Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอน และระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น

อาหารเช้าสำหรับสาวทำงานและผู้รักสุขภาพ เพียงนำผลไม้ต่าง ๆ มาหั่น เช่น มะละกอ กล้วย ส้ม ตามชอบ ราดด้วยโยเกิร์ต ลูกเกด และน้ำผึ้ง ไปผ่านความร้อน คุณก็จะได้อาหารเช้าที่มีประโยชน์ อร่อย อุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุอาหาร เอนไซน์ และโปรตีนที่ย่อยง่าย

ผู้ที่นอนไม่ค่อยหลับ ผสมน้ำผึ้งกับน้ำผุ่นหรือนมร้อนจะช่วยให้คุณหลับสบาย แต่ถ้าได้ร่วมกับการนั่งสมาธิซัก 5 นาทีก่อนนอน เพื่อให้ท่านได้หยุดพักความคิดและปล่อยวางลงบ้าง จะยิ่งทำให้คืนนั้นเป็นคืนที่คุณได้พักผ่อนเต็มที่

สำหรับผิวหน้าสดใส ผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยนหรือต้องการบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ มีวิธีง่าย ๆ ดังนี้ หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและเช็ดให้แห้งแล้ว นำกล้วยหอม 1/2 ลูก นำมาบดผสมกับน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน แล้วนำมาทาบนหน้า ทิ้งไว้ซัก 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งไม่ผานความร้อนจะมีเอ็นไซน์ ซึ่งทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นและนุ่มนวลขึ้น

เพื่อผมเงางาม หลังสระผมเสร็จนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อนผสมกับน้ำมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ นำมาชโลมผมแล้วทิ้งไว้ซัก 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามตามธรรมชาติปราศจากสารเคมีใด ๆ

"น้ำผึ้ง" มีคุณประโยชน์มากมายต่อร่างซึ่งตั้งแต่สมัยโบราณหมอชาวบ้านหรือแพทย์แผนโบราณจะนำน้ำผึ้งเดือน 5 หรือน้ำผึ้งแท้มาเป็นส่วนผสมในการปรุงยา หรือเป็นตัวประสานในยา เช่น นำมาปั่นเป็นลูกกลอน เป็นน้ำกระสายละลายผงยา และน้ำผึ้งจัดเป็นตัวยาสมุนไพรสำคัญอย่างหนึ่งทีเดียวในการเอามาทำยาอายุวัฒนะในทุก ๆ ครั้ง นั่นก็เป็นเพราะคุณค่าอันมีประโยชน์อย่างมากมายที่ทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงอายุยืนยาวมากกว่าปกติ รู้คุณค่าอย่างนี้แล้ว เราน่าจะหาน้ำผึ้งป่าแท้ ๆ ไว้รับประทานเป็นประจำที่บ้านสักขวด เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของตัวเราเองและคนใกล้ชิด

น้ำผึ้งจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีลักษณะของรังผึ้งน้ำผึ้ง คือน้ำหวานที่ผึ้งเก็บมาจากต่อมน้ำหวานของดอกไม้ (nectar) โดยผึ้งจะกลืนน้ำหวานลงสู่กระเพาะน้ำหวาน ซึ่งจะมีเอนไซม์ช่วยย่อยน้ำหวานแล้วนำมาเก็บไว้ในหลอดรวงผึ้ง จากนั้นน้ำผึ้งค่อยๆ บ่มตัวเองโดยการระเหยน้ำออกไปจนน้ำผึ้งมีปริมาณน้ำตามที่เข้มข้นขึ้นจนได้ระดับที่เหมาะสมกับการเก็บรักษาผึ้งงานก็จะปิดฝาหลอดรวง เราเรียกน้ำผึ้งนี้ว่า “น้ำผึ้งสุก” เป็นน้ำผึ้งที่ได้มาตรฐาน คือมีน้ำอยู่ไม่เกิน 20-21 เปอร์เซ็นต์

น้ำผึ้งช่วยแต่งรสยา - น้ำผึ้งมีรสหวานฝาด ร้อนเล็กน้อย มีสรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ปวดหลัง ปวดเอว ทำให้แห้ง ใช้ทำยาอายุวัฒนะ เราใช้น้ำผึ้งแต่งรสยาบางชนิด เช่น ยาแก้ไข้ที่มีรสขมมาก จนคนไข้กินไม่ได้ เราต้องใช้น้ำผึ้งผสมให้มีรสหวานนิดหนึ่ง รสยาก็จะอร่อยขึ้น และช่วยชูกำลัง ซึ่งน้ำผึ้งเข้าได้กับตำรับยาทุกชนิด น้ำผึ้งหนึ่งในน้ำกระสายยา - น้ำกระสายยาคือส่วนผสมหนึ่งของตำรับยาไทย ที่ช่วยให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น ซึ่งมีหลายชนิด เช่น ได้จากพืช อาทิ น้ำมะนาว ได้จากธาตุ เช่น เปลือกหอยนำมาฝนกับน้ำ ได้จากสัตว์ เช่น งาช้าง รวมถึงน้ำผึ้งที่ถือเป็นน้ำกระสายยาตัวหนึ่งที่มีฤทธิ์แรงทำให้ตัวยาดูดซึมเร็วขึ้น ช่วยกระตุ้นการทำงานของไต และกระจายเลือด ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีกำลังมากขึ้น หรือบางครั้งนำน้ำผึ้งมาผสมกับยาปั้นเป็นลูกกลอน แต่ผู้ปรุงยาควรนำน้ำผึ้งไปเคี่ยวให้เดือดเพื่อฆ่าเชื้อโรค มิฉะนั้น ยาลูกกลอนจะขึ้นราภายหลัง ผู้ป่วยที่ไม่ควรกินน้ำผึ้งตามหลักการแพทย์แผนไทยแล้ว น้ำผึ้งมีประโยชน์มากมายก็จริง แต่สำหรับผู้ป่วยบางราย แนะนำว่าไม่ควรกินน้ำผึ้งแบบเข้มข้นโดยไม่ผสมอะไรเลย เช่น 1) คนที่ดีพิการ คือ มีอาการตัวเหลืองตาเหลือง นอนสะดุ้งผวา 2) เสมหะพิการ คือมีเสมหะมากและมีภาวะโรคปอดแทรก 3) คนที่น้ำเหลืองเสีย มีฝีพุพอง ตุ่มหนอง หรือโรคครุฑราชต่างๆ

น้ำผึ้งในตำรายาจีนภาษาจีน แต้จิ๋ว เรียกน้ำผึ้งว่า "พังบิ๊ก" เป็นยาบำรุงร่างกาย โดยเฉพาะบำรุงลำไส้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี ลดความร้อนในร่างกาย บรรเทาอาการอ่อนเพลีย และยังช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย น้ำผึ้งมีรสชาติหวาน ชุ่มคอ สามารถใช้ได้ทั้งเดี่ยว และนำไปเป็นส่วนผสมของยา กรณีที่ใช้เดี่ยวโดยมากใช้ในกรณีลำไส้ไม่ดีถ้าร่างกายแข็งแรงอยู่แล้ว กินน้ำผึ้งประจำจะไปช่วยเคลือบลำไส้ ช่วยระบบขับถ่าย แต่สำหรับคนที่มีปัญหาท้องผูกบ่อยๆ กากอาหารที่ค้างอยู่ในลำไส้จะแข็งตัว ถ้าปล่อยให้ท้องผูกนานๆ กากอาหารจะขูดผนังลำไส้ อาจทำให้เป็นแผล และมีปัญหาสุขภาพตามมา ซึ่งถ้าเรากินน้ำผึ้งเพื่อช่วยเคลือบลำไส้จะช่วยลดปัญหาลงได้

สารสำคัญในน้ำผึ้ง น้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ น้ำตาลชนิดต่างๆ เช่น กลูโครส ฟลุคโตส และเลวูโรส ประมาณ 79 เปอร์เซ็นต์ โดยมีปริมาณน้ำตาล "ฟรักโทส" มากกว่าน้ำตาล "กลูโคส" เล็กน้อย ทำให้น้ำผึ้งไม่ตกผลึก และมีรสหวานกว่าน้ำตาลชนิดอื่นๆ กรดชนิดต่างๆ ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวเล็กน้อยโดยกรดที่พบมาก คือ กรดกลูโคนิก วิตามิน (ไรโบเฟลวิน, ไนอะซิน) เอนไซม์ และแร่ธาตุ (แคลเซียม, แมกนีเซียม, โปตัสเซียม, ฟอสฟอรัส) ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์ โดยน้ำผึ้งที่มีสีเข้ม จะมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งที่มีสีอ่อน ซึ่งจะเห็นได้ว่า องค์ประกอบหลักของน้ำผึ้ง คือน้ำตาล และเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดียวเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย โดยน้ำผึ้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 303 แคลอรี่

น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางยา คือ สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ เพราะน้ำผึ้งมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง ซึ่งความเข้มข้นนี้เองจะช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียใช้ในการเจริญเติบโต รวมถึงน้ำผึ้งมีความเป็นกรดสูง และมีปริมาณโปรตีนต่ำ ซึ่งทำให้แบททีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และสารแอนตี้ออกซิแดนด์ซึ่งจะมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียด้วย ดังนั้นเมื่อเราใช้น้ำผึ้งทาบาดแผลจึงสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้และทำให้แผลไม่เกิดการอักเสบ เอนไซม์ในน้ำผึ้งมีหลายชนิด มีหน้าที่ช่วยย่อยคาร์โบโฮเดรตได้ น้ำผึ้งจึงมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ และแก้อาการท้องผูกในเด็กและคนชราได้เป็นอย่างดี

นมผึ้ง (Royal Jelly) หรือ วุ้นนางพญา เป็นผลิตภัณฑ์จากรังผึ้ง มีลักษณะเป็นของเหลวข้น สีขาวครีม มีกลิ่นออกเปรี้ยว รสค่อนข้างเผ็ดเล็กน้อย ผลิตจากต่อม Hypopharyngeal ที่อยู่ในส่วนหัวของผึ้งงาน ซึ่งเป็นผึ้งที่ทำหน้าที่เลี้ยงดูตัวอ่อนและป้อนอาหารให้แก่นางพญา นมผึ้งที่สร้างผลิตขึ้น จะกลายเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงราชินีและตัวอ่อนของผึ้ง ซึ่งจะช่วยบำรุงให้ราชินีมีอายุยืนยาวและตัวอ่อนผึ้งเติบโตแข็งแรงต่อไปนมผึ้งมีฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่เกิดตามธรรมชาติ สำหรับผู้หญิงที่ตัดมดลูกแล้ว ร่างกายจะไม่สร้างฮอร์โมน ทำให้กินอะไรเข้าไปร่างกายจะไม่ค่อยดูดซึม ร่างกายจึงผอมลง และหงุดหงิดง่าย แต่เมื่อกินฮอร์โมนสังเคราะห์ทดแทนก็มีผลข้างเคียงต่อสุขภาพ เราจึงแนะนำให้คนที่ผ่าตัดมดลูกลองกินนมผึ้งที่มีฮอร์โมนจากธรรมชาติ กินทีละน้อยร่างกายก็จะค่อยปรับไปตามธรรมชาติ และมีผลข้างเคียงน้อยกว่า ผิวพรรณก็จะกลับมาผุดผ่องตามธรรมชาติสำหรับคนที่มีอาการเครียด นอนไม่หลับ และเป็นภูมิแพ้ว่าควรรับประทานนมผึ้งเพราะ

ในนมผึ้งมีกรดที่สำคัญชนิดหนึ่งคือ Decenonic acid ซึ่งเป็นกรดธรรมชาติที่ช่วยคลายเครียด และทำให้อารมณ์ดี นอกจากนี้นมผึ้งยังอุดมด้วยวิตามินหลายชนิด ที่สำคัญคือวิตามินบี ได้แก่ ไธอามีน ไรโบฟลาวิน ไบโอติน ฯลฯ ซึ่งเป็นสารจำเป็นต่อกระบวนการทำงานของโปรตีน และเชื่อกันว่าเป็นวิตามินต่อต้านความเครียด รวมถึงกรดโฟลิกและวิตามินบี 12 ซึ่งชนิดป้องกันโรคโลหิตจางได้ และยังมีอะเซตทิลคลอไรด์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นต่อระบบการทำงานของระบบประสาทในมนุษย์ และมีสารประกอบชีวเคมีไอโนซิทอล ซึ่งช่วยขจัดไขมันตกค้างในตับ ลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดผึ้งแต่ละรังจะผลิตนมผึ้งในปริมาณน้อย นมผึ้งจึงมีราคาสูง นมผึ้งสดๆ จะเก็บได้ไม่นาน จะสลายตัวอย่างรวดเร็ว ส่วนมากจะผลิตเป็นแคปซูล หากผลิตอย่างดีมีคุณภาพจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากมาก ทั้งนี้เพื่อคงคุณค่าของนมผึ้งไว้

เกสรผึ้ง (Pollen) คือละอองเม็ดเล็กๆ คล้ายฝุ่นแป้งที่เกิดจากการหลุดจากช่อเกสรตัวผู้ของดอกไม้นานาชนิด ผึ้งจะไปเก็บรวบรวมเกสรเหล่านี้มาผสมกับน้ำหวานของดอกไม้และทำเป็นก้อนเล็กๆ ติดมากับขา แล้วนำไปเก็บไว้ในรังเพื่อเป็นอาหารโปรตีนเลี้ยงตัวอ่อนสำหรับเกสรผึ้งนั้น มีธาตุอาหารหลักคือ คาร์โบไฮเดรต 60 เปอร์เซ็นต์ กรดอะมิโน 20 เปอร์เซ็นต์ ไขมัน 7 เปอร์เซ็นต์ เกลือแร่ 6 เปอร์เซ็นต์ และน้ำ 7 เปอร์เซ็นต์เกสรผึ้ง สามารถนำมาบำบัดโรคภูมิแพ้ ประเภทแพ้อากาศและฝุ่นละออง แต่หากแพ้เกสรดอกไม้ห้ามรับประทานเกสรผึ้งเพราะอาจทำให้ช็อคและเสียชีวิตได้ รวมถึงคนที่เป็นโรครูมาติซั่ม รอบเดือนมาไม่ปกติ นอกจากนั้นยังช่วยบำรุงร่างกายนักกีฬา ช่วยคลายความเหน็ดเหนื่อย สร้างความกระฉับกระเฉง และบำรุงเส้นผมให้ดกดำนอกจากนี้เกสรผึ้งยังเป็นสารฮอร์โมนธรรมชาติที่ช่วยกระตุ้น และบำรุงระบบสืบพันธุ์ทั้งชายและหญิง เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ผู้ที่ไม่มีบุตรในวัยเจริญพันธุ์ อาจมีบุตรได้ เพราะเกสรผึ้งจะทำให้สตรีตกไข่ดีขึ้น และสร้างความแข็งแรงให้ตัวสเปิร์มและเพิ่มจำนวนตัวสเปิร์มด้วยเช่นกัน

เปลี่ยนน้ำผึ้งเป็นอาหารและยาลดการอักเสบหากมีบาดแผลหรือแผลถลอกให้ล้างด้วยน้ำเบกกิ้งโซดา หรืออบเชย ชาเสจ ชาใบผักชี (ที่เย็นแล้ว) ซึ่งมีสรรพคุณฆ่าเชื้อทั้งสิ้น อาจใช้ชาดำธรรมดา น้ำมันหอม และน้ำมันกระเทียมช่วยล้างด้วยเพื่อห้ามเลือด จากนั้นทาน้ำผึ้งสะอาดบนแผล น้ำผึ้งจะช่วยป้องกันการติดเชื้อและทำให้แผลหายเร็ว

รักษาโรคผิวหนังจากเชื้อรา : ใช้ผงขมิ้นผสมน้ำผึ้งทาบริเวณกลากเกลื้อน วันละ 2 ครั้ง

ต้านข้ออักเสบ: ผสมน้ำส้มแอ๊ปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนชาลงในน้ำร้อน เติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ชงดื่มวันละ 2 ครั้ง

แก้อาการท้องผูก: กินกล้วยน้ำว้าสุกจิ้มน้ำผึ้งหรือมันต้มสุกจิ้มน้ำผึ้ง ช่วยลดอาการท้องผูกได้เช่นกัน

แก้นอนไม่หลับ: น้ำผึ้งเป็นยาระงับประสาทอ่อนๆ ชงน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นหรือชาดอกไม้ เช่น ชาดอกคาโมมายล์ ดื่มก่อนนอนจะช่วยให้หลับสบายขึ้น

บำรุงเลือด: เทน้ำผึ้งครึ่งช้อนโต๊ะใส่แก้ว บีบน้ำมะนาว 1 ซึก ใส่เกลือนิดหน่อยเติมน้ำร้อน ดื่มเป็นยาบำรุงเลือด

บรรเทาอากาไอ: ส่วนผสมน้ำผึ้ง 500 กรัม ขิงสด1.2 กิโลกรัม (1 ชั่ง) คั้นขิงสดเอาแต่น้ำแล้วนำมาผสมกับน้ำผึ้ง ต้มจนแห้ง กินครั้งละขนาดเท่าลูกอม จะช่วยบรรเทาอาการไอเรื้อรัง

บำบัดเบาหวาน: ส่วนผสมสาลี่หอมหรือสาลี่หิมะจำนวน 5 ลูก น้ำผึ้ง 250 กรัม ปอกเปลือกสาลี่แล้วตำให้ละเอียด นำไปคลุกกับน้ำผึ้งแล้วต้มจนเหนียว บรรจุใส่ขวดวิธีกินผสมน้ำกิน ช่วยแก้อาการไอและบำบัดโรคเบาหวานได้

ลดความดันโลหิตสูง: ส่วนผสมน้ำผึ้งและงาดำ อย่างละ 50 กรัม ตำงาดำให้ละเอียดแล้วคลุกกับน้ำผึ้งวิธีกินชงกับน้ำร้อนดื่มรักษาโรคความดันโลหิตสูง

และบรรเทาอาการท้องผูกเรื้อรัง ช่วยปรับสมดุลร่างกาย และควบคุมน้ำหนัก ผู้ที่รักสุขภาพและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือโรคอ้วน สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งได้มีการพิสูจน์และใช้กันมานานในอเมริกาและยุโรป โดยนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Honey) 3 ช้อนชา และน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ลไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Apple Cider Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอน และระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น

สำหรับผิวหน้าสดใสผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยนหรือต้องการบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ มีวิธีง่าย ๆ ดังนี้ หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและเช็ดให้แห้งแล้ว นำกล้วยหอม 1/2 ลูก นำมาบดผสมกับน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน แล้วนำมาทาบนหน้า ทิ้งไว้ซัก 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งไม่ผานความร้อนจะมีเอ็นไซน์ ซึ่งทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นและนุ่มนวลขึ้น

ทดสอบน้ำผึ้งแท้น้ำผึ้งปัจจุบันผู้ผลิตบางรายมักใส่สารแปลกปลอมลงในน้ำผึ้ง การตรวจจับด้วยเทคนิคด่างๆ จึงเป็นเรื่องยาก นอกจากตรวจสอบในห้องปฏิบัติการเท่านั้นซึ่งมีราคาแพงและค่อนข้างยุ่งยาก วิธีที่ดีที่สุดคือควรซื้อน้ำผึ้งจากผู้ขายที่เชื่อใจได้ หรือมิฉะนั้นต้องใช้สายตาประเมินคุณภาพดังต่อไปนี้มีความข้นและหนืดพอสมควรซึ่งแสดงว่าน้ำผึ้งมีน้ำน้อย มีคุณภาพสูง มีสีตามธรรมชาติ ตั้งแต่สีเหลืองอ่อนถึงน้ำตาม ใส่ ไม่ขุ่นทึบ มีกลิ่นหอมของน้ำผึ้งตามชนิดของดอกไม้นั้นๆ เช่น น้ำผึ้งจากดอกลำไย น้ำผึ้งจากดอกลิ้นจี่ ปราศจากกาก ไขผึ้ง หรือเศษตัวผึ้งปะปน รวมทั้งวัสดุแขวนลอยต่างๆ ไม่มีกลิ่นบูดเปรี้ยว ไม่มีฟอง ไม่มีการใส่สารปรุงแต่งสี กลิ่น รสใดๆ ลงในน้ำผึ้ง การหยดน้ำผึ้งใส่กระดาษไข ถ้าเป็นของแท้จะไม่ซึมแน่นอน ทดสอบโดยหยดน้ำผึ้งลงในแก้วน้ำชา สังเกตการละลายถ้าเป็นนํ้าผึ้งแท้เมื่อคนให้เข้ากันจะไม่ละลายในทันที

ปลา อาหารคู่ชีวิต



โดยกลุ่มวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี

ปลา เป็นอาหารคู่ชีวิตของคนไทยจนเราพูดกันติดปากว่า “กินข้าว กินปลา” ปลาเป็นอาหารที่หาได้ง่ายตามแหล่งน้ำต่างๆ ทั้งที่เป็นธรรมชาติและแหล่งน้ำที่จัดสร้างขึ้น คนไทยรู้จักจับปลาเป็นอาหารและขายเป็นสินค้าโดยใช้เครื่องมือง่ายๆ ตลอดจนใช้เครื่องมือที่ทันสมัย ทำให้ประเทศไทยเรามีปลาบริโภคมากมายหลายชนิดและจำหน่ายเป็นสินค้าส่งออกที่นำรายได้เข้าสู่ประเทศ


คุณค่าทางด้านโภชนาการของปลา
ปลาเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เราจัดปลาไว้ในอาหารหลักหมู่ที่หนึ่งในประเภทเนื้อสัตว์ ไข่ นมและถั่วเมล็ดแห้ง โปรตีนในเนื้อปลาจะถูกนำไปใช้ในการเสริมสร้างเนื้อเยื่อและซ่อมแซมสิ่งที่สึกหรอ ไขมันที่มีอยู่ในเนื้อปลาจะเป็นส่วนประกอบของเซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะสมอง จะป้องกันการจับแข็งตัวของไขมันในเส้นเลือด วิตามิน และแร่ธาตุที่มีอยู่ในเนื้อปลาจะควบคุมการทำงานของร่างกายให้ทำหน้าที่ได้ตามปกติ

คุณค่าทางด้านโปรตีน ปลาชนิดต่าง ๆ ให้โปรตีนในปริมาณที่สูงพอสมควร เนื้อปลา 100 กรัม จะประกอบขึ้นด้วยโปรตีนเป็นจำนวนกรัม ดังนี้ ปลาดุก 23.0 ปลาตะเพียน 22.0 ปลากระบอก 20.7 ปลาช่อน 20.5 ปลาทู 20.0 ปลาแป้น 19.6 ปลาเก๋า 1808 ปลาทรายแดง 18.4 ปลาตาเดียว 18.1 ปลาไส้ตัน 18.0 ปลากราย 17.5 ปลาหมอไทย 17.2 ปลาสวาย 15.4 ปลาหมึกกล้วย 15.2 และปลาเนื้ออ่อน 14.4

เมื่อทำการศึกษาลงไปในรายละเอียดในด้านคุณภาพของโปรตีนในเนื้อปลาโดยทำการวิเคราะห์หาปริมาณกรดอะมิโน พบว่า โปรตีนในเนื้อปลาประกอบด้วย กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายสูง โดยเฉพาะไลซีนและทรีโอนีน ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตในเด็กและจากการประเมินคุณภาพของโปรตีนโดยใช้ค่าคะแนนของกรดอะมิโน (Amino acid score) พบว่า ปลาต่างๆ มีคะแนนดังนี้ ปลาทู 92 ( ทัดเทียมกับน้ำนมวัวซึ่งมีค่าเท่ากับ 91 ) ปลาตาเดียว 88 ปลาทรายแดง 81 ปลาช่อน 76 และปลาหมึกกล้วย 74
เนื้อปลานั้น นอกจากจะมีคุณภาพและปริมาณของโปรตีนสูงแล้ว ตามลักษณะโดยธรรมชาติของเนื้อปลา ยังพบว่า มีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันน้อยมากเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์อย่างอื่น ดังนั้น เนื้อปลาจึงมีลักษณะอ่อนนิ่ม เคี้ยวง่าย นำไปใช้ประโยชน์ได้เต็มที่จึงเหมะสำหรับเป็นอาหารทารก ผู้สูงอายุและผู้ป่วย

คุณค่าทางด้านไขมัน ไขมันที่ประกอบในเนื้อปลาทำให้รสชาติและสีของเนื้อปลาแตกต่างกันออกไป เนื้อปลา 100 กรัม ประกอบด้วยไขมันเป็นจำนวนกรัมดังนี้ ปลาสวาย 21.5 ปลาทู 6.7 ปลากระบอก 3.9 ปลาช่อน 3.8 ปลาตะเพียน 2.6 ปลาดุก 2.4 ปลาเนื้ออ่อน 2.3 ปลากราย 1.6 ปลาทรายแดง 1.0 ปลาแป้น 1.0 ปลาหมึกกล้วย 0.7 ปลาเก๋า 0.5 ปลาไส้ตัน 0.3 และปลาตาเดียว 0.1

เมื่อทำการศึกษาถึงคุณภาพของไขมันที่อยู่ในเนื้อปลา โดยทำการวิเคราะห์หาปริมาณของกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะกรดไลโนเลอิค (Linoleic acid) (C 18 : 2 , n 6 ) ซึ่งมีหน้าที่ต่างๆ ต่อร่างกาย ดังนี้1) เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์โดยการเปลี่ยนเป็นกรดไขมันที่จำเป็นอีกชนิดหนึ่ง คือ กรดอะแรคคิโคนิค (Arachidonic acid) (C 20 : 4 , n 6 ) 2) ควบคุมระดับของโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด จึงมีส่วนลดอัตราการตายจากโรคหัวใจชนิดหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน 3) เป็นต้นกำเนิดฮอร์โมนโปรสตาไซคลิน ซึ่งมีฤทธิ์ขัดขวางการจับตัวของเกร็ดเลือด ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดต่าง ๆและ 4) กรดไลโนเลอิคที่เปลี่ยนเป็นฮอร์โมนโปรสตาแกลนดิน จะทำให้ไตเพิ่มการขับถ่ายโซเดียมและน้ำออกจากร่างกาย จึงีส่วนควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติผลของการวิเคราะห์พบว่า ปลาชนิดต่างๆ มีองค์ประกอบของไลโนเลอิคเป็นเปอร์เซ็นต์ของไขมันดังนี้ ปลาตะเพียน 19.36 ปลากราย 13.47 ปลาดุก 11.82 ปลาหมอไทย 9.03 ปลาช่อน 6.00 ปลาสวาย 4.0 ปลาเนื้ออ่อน 4.09 ปลาแป้น 2.65 ปลาทรายแดง 2.05 ปลาไส้ตัน 2.03 ปลาเก๋า 1.77 ปลาทู 1.67 ปลาตาเดียว 1.49 และปลาหมึกกล้วย 1.67

นอกจากกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายแล้ว กองโภชนาการยังได้ทำการศึกษากรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวที่มีความสำคัญต่อร่างกายได้แก่ Eicosapentaenoic acid หรือ อีพีเอ (EPA) Docosahexaenoic acic หรือ ดี เอ็ช เอ (DHA) ด้วย

อี พี เอ เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งที่มีคุณสมบัติลดปัญหาการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด ได้เนื่องจากเป็นสารตั้งต้นในการสร้างสารไอโคซานอยด์ที่มีคุณสมบัติลดการจับตัวของเกร็ดเลือด นอกจากนั้น ร่างกายสามารถนำกรดไขมัน อี พี เอ นี้ไปสร้างสารที่ช่วยการขยายตัวของหลอดเลือดด้วย

อี พี เอ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของไขมันดังนี้ ปลาทู 12.24 ปลาหมึกกล้วย 8.00 ปลาแป้น 7.87 ปลาใส้ตัน 6.43 ปลาเก๋า 4.44 ปลาช่อน 3.70 ปลาทรายแดง 3.05 ปลาสวาย 2.22 ปลาตาเดียว 2.06 ปลาเนื้ออ่อน 1.73 ปลาตะเพียน 0.76 ปลาหมอไทย 0.73 ปลากราย 0.68 และปลาดุก 0.54

สำหรับกรดไขมันอีกชนิดหนึ่งในกลุ่มเดียวกันนี้ คือ ดี เอ็ช เอ นั้นมีส่วนพิสูจน์คำกล่าวที่ว่า “กินปลาแล้วสมองดี” สาร ดี เอ็ช เอ นี้มีในผนังเซลล์ทั่วร่างกาย ทำให้เซลล์มีความไวต่อการรับสัญญานประสาท นอกจากนั้นยังพบว่ามีปริมาณสูงในจอตาและที่สำคัญที่สุด คือ เป็นไขมันที่เป็นส่วนประกอบของเซลล์สมอง ซึ่งพบว่ามีถึงร้อยละ 65 สมองมนุษย์มีไขมันชนิดนี้เป็นส่วนประกอบอยู่ครึ่งหนึ่งก่อนกำเนิด ส่วนทีเหลือจะได้มาในช่วงปีแรกของชีวิต เพราะฉะนั้น ดี เอ็ช เอ จึงมีความสำคัญมากต่อสตรีในระยะตั้งครรภ์และมารดาในระยะให้นมบุตร ที่ช่วยให้สมองทารกพัฒนาและเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ ผลการวิเคราะห์กรดนี้จากเนื้อปลาคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของไขมันมีดังนี้ ปลาหมึกกล้วย 29.41 ปลาตาเดียว 25.35 ปลาทรายแดง 25.01 ปลาไส้ตัน 20.78 ปลาเก๋า 19.38 ปลาช่อน 16.39 ปลาทู 14.96 ปลาแป้น 11.31 ปลาสวาย 9.21 ปลาหมอไทย 6.59 ปลาดุก 4.22 ปลาตะเพียน 4.50 ปลาเนื้ออ่อน 3.15 และปลากราย 2.23


คุณค่าทางด้านแร่ธาตุ เมื่อศึกษาถึงองค์ประกอบของแร่ธาตุที่มีอยู่ในเนื้อปลาแล้วพบว่า เนื้อปลาส่วนใหญ่มีส่วนประกอบของแร่ธาตุแคลเซียมละฟอสฟอรัสในสัดส่วนที่พอดีต่อการสร้างกระดูกและฟัน นอกจากนั้นยังพบว่าปลาบางชนิด ได้แก่ ปลาตาเดียว ปลาทู ปลาไส้ตัน ปลากระบอกและปลาหมอไทย มีธาตุเหล็กซึ่งเป็นส่วนประกอบในการสร้างเม็ดโลหิตแดง ธาตุนี้ป้องกันโรคโลหิตจางและแร่ธาตุที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งที่พบว่ามีมากในปลาทะเลโดยเฉพาะปลาทู ปลาแป้น และปลากระบอก คือ ธาตุไอโอดีนที่เป็นส่วนประกอบของฮอร์โมนในต่อมไทรอยด์ มีหน้าที่ควบคุมการเผลาผลาญของพลังงานในร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นธาตุไอโอดีนยังเป็นส่วนสำคัญในการเจริญเติบโตของสมองด้วย


คุณค่าทางด้านวิตามิน เนื้อปลามีส่วนประกอบของวิตามินบีหนึ่ง บีสอง และไนอะซิน ที่ช่วยในการเกิดพลังงานของสารคาร์โบไฮเดรท ไขมันและโปรตีน ทำให้ร่างกายมีประสิทธิภาพในการประกอบการงานและการเรียนรู้ ปลาชนิดต่าง ๆ ที่มีวิตามินเหล่านี้สูง ได้แก่ ปลาทู ปลากราย ปลากระบอก ปลาแป้น ปลาทรายแดง ปลาตะเพียน ปลาหมอไทยและปลาหมึกกล้วย นอกจากคุณค่าทางโภชนาการของเนื้อปลาดังกล่าวข้างต้นแล้ว ส่วนประกอบอื่นๆ ของปลา เช่น ไข่ปลา (ปลากระบอก) มีโปรตีนและไขมันสูงเช่นกัน นอกจากนั้นยังประกอบด้วยธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ วิตามินบีสอง สูง เช่นกัน ตับปลาโดยเฉพาะปลาทะเล มีปริมาณของวิตามินเอและดี สูง จึงนำมาสกัดทำน้ำมันตับปลา ปลาเล็กปลาน้อยที่กินกระดูกได้ให้ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงด้วยเช่นกัน กล่าวโดยสรุปก็คือ ปลามีคุณค่าทางโภชนาการสูงในทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านองค์ประกอบของไขมัน และไอโอดีน ที่มีส่วนพิสูจน์คำกล่าวที่ว่า “กินปลาแล้วสมองจะดี”

23.6.51

กินทุเรียน... เพื่อสุขภาพ

ถ้ากินตามเทคนิคของปู่ย่าตายายที่ตกทอดกันมา ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาล่ะก็รับรองผอมแน่คะ! นั่นคือให้กินทุเรียนแบบถือว่าเป็นยาถ่ายพยาธิ ไม่ใช่กินเอาอร่อยอย่างที่เรากินๆ กันตื่นนอนให้เช้าๆ หน่อย สักประมาณตี 5 (เป็นเวลาที่ธาตุของเราเริ่มทำงาน) หลังจากแปรงฟันล้างหน้าแล้วก็ทานทุเรียนได้เลย จะเลือกพันธุ์ไหนก็ได้ตามรสนิยม ให้ทานได้ประมาณครึ่งลูก คนอ้วนจะทานได้มากกว่านี้นิดหน่อย หลังจากทานแล้วดื่มน้ำอุ่นๆ ตามลงไปด้วยหลังจากทานทุเรียนแล้ว ควรงดอาหารเช้าของวันนั้น ทานติดต่อกัน 2 วัน เส้นใยและความร้อนจากสารกำมะถันในทุเรียนจะไปชะล้างพยาธิและสิ่งสกปรกต่างๆ ในลำไส้ออกมาจนหมด ทำให้คุณผอมลง ร่างกายแข็งแรงสดชื่นด้วย
ทุเรียนมีดีรอบด้าน ถึงกินแล้วจะร้อนในไปหน่อย แต่ความดีอย่างอื่นของทุเรียยนก็ยังมี แถมมีตั่งแต่ต้นจรดรากซะด้วยสิ!...
เนื้อ:เนื้อทุเรียนมีกำมะถันเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ร้อน แต่ความร้อนนี้ล่ะจะช่วยแก้โรคผิวหนังได้ ทำให้ฝีหนองแห้งเร็ว และมีฤทธิ์ขับพยาธิได้ด้วย
เปลือก: ถ้าเอาเปลือกแหลมๆ ไปสับแช่ในน้ำปูนใส แล้วเอามาล้างแผลพุพอง แผลน้ำเหลืองเสีย แผลจะหายเร็ว หรือถ้าหากมีเด็กในบ้านเป็นคางทูม คนสมัยก่อนเขาก็จะเอาเปลือกทุเรียนไปเผาแล้วบดเป็นผง เอมาผสมกับน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว แล้วเอามาพองที่คาง คางทูมก็จะยุบ
ใบทุเรียน: เอาใบทุเรียนไปต้มกับน้ำแล้วเอาน้ำนั้นมาอาบ ความร้อนจะช่วย ให้หายไข้และโรคดีซ่านได้ราก:ตัดเป็นข้อๆ ใส่หม้อต้มให้เดือด นำมาดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วงได้ดี
แต่ที่สำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงามแล้วละก็ คุณอาจจะไม่เคยคิดเลยว่า ทุเรียนจะสามารถทำให้คุณสวยได้ ... วิธีการไม่ยากเลยเพียงแค่....นำเนื้อทุเรียนสุกพอห่ามๆ ไม่ต้องสุกมาก มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ สักกำมือหนึ่ง ปั่นรวมกับดินสอพอง 1/4 ช้อนโต๊ะ จนเป็นเนื้อข้นๆ ทาไปเลยทั่วผิว เว้นรอบดวงตาและปาก หรือบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออก ธาตุกำมะถันในทุเรียนจะทำให้สิวแห้งเร็วขึ้น

เรื่องกล้วยๆ... แต่ไม่กล้วย