แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 100 ปรัชญา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 100 ปรัชญา แสดงบทความทั้งหมด

19.4.52

ถึงเวลาแล้ว ที่ต้องเสียสละ... อย่ายึดติดอีกต่อไป

ถ้าพิจารณาดูจะเห็นว่า เรามีแต่ความทุกข์กับสิ่งต่างๆที่เรามีอยู่ทั้งสิ้น ความสุขที่ได้รับจากสิ่งเหล่านั้น เป็นเพียงความสุขเล็กๆน้อยๆ และเมื่อได้สัมผัสแล้วไม่นาน ก็เกิดความชินชาจนไม่เห็นความสุขของสิ่งนั้นๆเหลืออยู่เลย มีแต่ความหวง ความห่วง ความยึดติดอยู่ในสิ่งนั้นๆ ทำให้เกิดความคับแค้นใจ ความวุ่นวายใจ ไม่รู้จักจบจักสิ้น ไม่เชื่อลองพิจารณาดู ทุกวันนี้ทุกข์กับอะไร ก็ทุกข์กับสมบัติที่มีอยู่นั่นแหละ ทุกข์กับครอบครัว ทุกข์กับสามี ทุกข์กับภรรยา ทุกข์กับลูกเต้า ทุกข์กับทรัพย์สมบัติต่างๆที่มีอยู่ เพราะเมื่อมีสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็ต้องคอยดูแลรักษา ทำให้ไม่รู้จักพึ่งตัวเอง ไม่รู้จักอยู่โดยปราศจากสิ่งเหล่านี้ ทั้งๆที่สามารถอยู่ได้โดยที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้ ไม่มีสามี ไม่มีภรรยา เราก็อยู่ได้ ไม่มีลูก เราก็อยู่ได้ ไม่มีสมบัติมากมายก่ายกองเกินความจำเป็น เราก็อยู่ได้ แต่เราไม่เคยอยู่แบบนั้นเลย เพราะว่าตลอดเวลาภายในหัวใจของเรา มีแต่ความหลง มีแต่ความโง่เขลาเบาปัญญา คอยหลอกให้เรากลายเป็นคนพิการไป คือไม่ให้พึ่งตัวเราเอง ไม่ให้เราหาความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ในตัวของเรา ไม่ให้มีความมักน้อยสันโดษ มีความพอใจยินดีกับสิ่งที่มีอยู่ กลับสร้างความหิวกระหาย ความอยาก ให้เกิดขึ้นตลอดเวลา จึงทำให้เราต้องดิ้นรนออกไปหาสิ่งต่างๆภายนอกตัวเรา ไปหาสมบัติข้าวของ หาบุคคลต่างๆ เพราะคิดว่าเมื่อได้สิ่งเหล่านี้แล้ว จะมีความสุข จะไม่มีความทุกข์กัน แต่เมื่อมีแล้ว ก็มีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความกังวล เพราะเมื่อมีแล้ว ก็อาศัยสิ่งเหล่านี้ไว้ให้ความสุขเล็กๆน้อยๆกับเรา แต่ในขณะเดียวกัน เราก็กลายเป็นคนพิการไป ถ้าเกิดวันใดวันหนึ่งไม่มีสิ่งที่เคยมี เคยใช้อยู่ ก็จะมีความทุกข์อย่างมาก บางครั้ง บางคนอาจจะทนอยู่ไม่ได้ เมื่อไม่มีสิ่งเหล่านั้น ถึงกับทำร้ายชีวิตของตนไปในที่สุด ก็เพราะปล่อยตัวเองให้ไปยึดไปติด ไปพึ่งพาอาศัยสิ่งภายนอกมาให้ความสุขกับตนนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เวลาไม่มีสิ่งเหล่านั้นมาให้ความสุข ก็เกิดความทุกข์ จนทนอยู่ต่อไปไม่ได้
แต่ถ้าได้ศึกษา ได้ยินได้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งทรงสอนว่า ความสุขที่ประเสริฐ ความสุขที่เลิศนั้น อยู่ในตัวของเราแล้ว อยู่ในใจที่สงบ ใจจะสงบได้ ก็จะต้องปล่อยวาง ไม่ไปพึ่งพาอาศัยสิ่งต่างๆภายนอก ยกเว้นสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ก็คือปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ เป็นสิ่งที่ต้องมี ถ้าไม่มีแล้วร่างกายนี้ ชีวิตนี้ ย่อมอยู่ไปไม่ได้ แต่ความจำเป็น คือความต้องการของร่างกายในปัจจัย ๔ ก็มีไม่มาก เราก็รู้ๆกันอยู่ ถ้ารู้จักความมักน้อยความสันโดษแล้ว ก็จะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปดิ้นรนหาปัจจัย ๔ มาเกินความจำเป็น ให้เหนื่อยยากไปเปล่าๆ เพราะอาหารก็ดี ที่อยู่อาศัยก็ดี เครื่องนุ่งห่มก็ดี ยารักษาโรคก็ดี ไม่จำเป็นจะต้องเป็นของราคาแพงๆ ถึงจะมีคุณค่ากับร่างกาย อาหารก็มาจากที่เดียวกัน มาจากตลาด แล้วก็เอามาทำให้เรารับประทาน ราคาจะสูงหรือต่ำก็อยู่ที่สถานที่ที่นำมาขาย ถ้าไปกินอาหารในร้านที่มีการตกแต่ง มีค่าใช้จ่ายสูง อาหารก็จะแพง ถ้าไปซื้ออาหารมาทำรับประทานที่บ้าน ก็เป็นอาหารเหมือนกัน เมื่อรับประทานเข้าไปก็ให้ความอิ่ม รักษาชีวิตให้อยู่ได้ต่อไปเหมือนกัน ความแตกต่างกันอยู่ตรงที่ราคา ถ้าของหรูหราก็ต้องเสียเงินมาก แล้วเงินก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่งอกมาจากตัวเรา เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องออกไปหากัน เมื่อใช้มาก ก็ต้องหามาก ก็ต้องเหนื่อยมาก ถ้าใช้น้อยก็ไม่ต้องดิ้นรนมาก เราก็หามาน้อยๆพอใช้เท่าที่จำเป็น ปัญหาต่างๆที่เกิดจากการออกไปทำมาหากินก็มีไม่มาก ความสุขกลับมีมากกว่า ความสุขทางจิตใจของคนที่ใช้เงินน้อย จะมีมากกว่าของคนที่ใช้เงินมาก เพราะคนใช้เงินน้อยไม่มีความกดดัน ที่จะต้องคอยไปหาเงินมามากๆ มีอะไรก็ใช้ไปตามมีตามเกิด อย่างนี้มีความเบาใจ มีความสบายใจ มีความสุขใจ นี่แหละคือความสุขที่แท้จริง อยู่ที่ใจของเรา อยู่ที่การกระทำของเรา อยู่ที่ว่ารู้จักสร้างความสุขให้กับใจหรือไม่ ส่วนใหญ่มักจะไปสร้างความทุกข์ให้กับใจด้วยความหลง ทำให้เกิดความอยากความโลภ คิดว่าถ้ามีอะไรมากๆแล้ว จะมีความสุขมาก แต่ไม่เคยหันมาดูที่ใจเลยว่า วันๆหนึ่งใจมีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความกังวล มีแต่ความห่วงใย กินไม่ได้นอนไม่หลับ เศรษฐีบางคนมีเงินทองเยอะแยะ สามารถซื้ออาหารราคาแพงๆมารับประทานได้ แต่ใจกลับไม่มีความสุขกับการรับประทานอาหารนั้นเลย เพราะในขณะที่รับประทานไป ก็มีแต่ความกังวล ห่วงเรื่องดอกเบี้ยบ้าง เรื่องหนี้ที่จะต้องจ่ายบ้าง เรื่องเงินลูกหนี้ที่จะต้องไปตามเก็บบ้าง ล้วนแต่เป็นปัญหาคาราคาซังอยู่ภายในใจ สู้คนยากจนอย่างพระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวกไม่ได้ ท่านไม่มีปัญหาเหล่านี้อยู่ในใจของท่านเลย เพราะท่านไม่มีลูกหนี้ ไม่มีเจ้าหนี้ ไม่มีดอกเบี้ยที่จะต้องคอยมากังวล ที่จะต้องคอยผ่อนส่ง วันๆหนึ่งใจของท่านมีแต่ความว่าง เพราะไม่มีสมบัติอะไร ไม่มีเรื่องราวอะไร ที่จะต้องไปห่วง ไปกังวล วันๆหนึ่งก็เพียงแต่มีหน้าที่ดูแลร่างกาย ตอนเช้าก็ออกไปบิณฑบาตหาอาหารมา ตามมีตามเกิด ได้อะไรก็พอใจกับที่ได้มา ก็รับประทานไป ก็อิ่มเหมือนกัน แต่ใจของท่านซิเป็นใจที่เบา เป็นใจที่สุข เป็นใจที่ว่างจากความทุกข์ทั้งปวง เพราะใจได้ถูกชำระด้วยปัญญาแล้ว ปัญญานี้แหละคือสิ่งที่จะมาทำลายมลทิน ความสกปรก ความเศร้าหมองที่เกิดจากกิเลสตัณหาทั้งหลาย พวกเราแทนที่จะทำตามอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทำ และได้ทรงปฏิบัติมาแล้ว กลับไม่ได้ทำกัน กลับไปส่งเสริมความเศร้าหมอง ส่งเสริมความสกปรกในใจให้มีมากยิ่งขึ้นไป ด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ด้วยความอยากต่างๆ
ขอให้จำไว้ว่า ทุกครั้งที่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง มีความอยาก ไม่ว่าจะเป็นความอยากในกาม ความอยากมีอยากเป็น หรือความอยากไม่มีอยากไม่เป็นก็ตาม ก็เท่ากับว่ากำลังสร้างขยะ สร้างความสกปรกให้มีมากขึ้นไปในใจ ใจก็จะมีความทุกข์มีความเศร้าหมองเพิ่มมากขึ้นไป ทั้งๆที่ได้เงินเพิ่มขึ้นมาอีก ๑๐ ล้าน อีก ๑๐๐ ล้าน มีสามี มีภรรยาเพิ่มขึ้นอีก ๔-๕ คนก็ตาม แต่ใจกลับมีความเศร้าหมองเพิ่มมากขึ้นไปอีก มีความกังวล มีความวุ่นวายใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับเพิ่มมากขึ้นไปอีก เพราะกำลังสร้างความทุกข์ให้กับใจโดยไม่รู้สึกตัว ทั้งๆที่คิดว่ากำลังสร้างความสุขให้กับตน แต่กลับมีแต่ความทุกข์ ความวุ่นวายใจ ถ้าไม่เชื่อ ลองเปรียบเทียบดูระหว่างเรากับพระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวกทั้งหลาย ท่านมีอะไรบ้าง ท่านไม่มีอะไรเลย ในเรื่องสมบัติภายนอก ไม่ว่าจะเป็นสามีภรรยา สมบัติต่างๆ ตำแหน่งต่างๆ ไม่มีอะไรเลย มีสมบัติอยู่เพียง ๘ ชิ้น ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของสมณะเท่านั้น คือมีผ้าไตรจีวร ๓ ผืน บาตรใบหนึ่ง ประคดเอว มีดโกน เข็มกับด้าย และที่กรองน้ำ นี่คือสมบัติที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของพระ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ท่านอยู่ได้แล้ว ด้วยความสุข ด้วยความเบาใจ ด้วยความสบายใจ เพราะใจของท่านไม่มีภาระ ไม่มีความผูกพันกับอะไรทั้งสิ้น เพราะไม่ว่าจะมีอะไร ในไม่ช้าก็เร็ว ก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งต่างๆที่มีอยู่ทั้งสิ้น เพราะธรรมชาติของชีวิตเป็นอย่างนั้น เราก็เห็นกันอยู่ เวลาเกิด ก็มาตัวเปล่าๆ เมื่อไปก็ไปตัวเปล่าๆ คือใจมาครอบครองร่างกาย เมื่อตายไปใจก็ทิ้งร่างกายนี้ไป ทิ้งสมบัติ ทิ้งบุคคลต่างๆไปหมด ไม่ได้เอาอะไรไปเลยนอกจากบุญกับบาปเท่านั้น บุญก็คือความฉลาดหรือปัญญา บาปก็คือความโง่เขลาเบาปัญญานั่นเอง ถ้ายังไม่เข้าใจหรือยังไม่เห็น ก็ต้องรีบขวนขวายศึกษา แล้วปฏิบัติตาม อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ปฏิบัติมา คือพยายามลดละ ตัดกิเลสตัณหาทั้งหลายให้เบาบางลงไป ให้หมดสิ้นไป เมื่อทำได้แล้ว จะเห็นความสุขที่แท้จริง ที่ปรากฏขึ้นมาภายในใจ เรียกว่าปัญญา ความสว่าง ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อนำธรรมไปปฏิบัติ เพียงแต่ได้ยินได้ฟังอย่างวันนี้ แล้วก็ไม่ได้นำไปปฏิบัติ ก็ยังจะไม่เห็นผลของการเสียสละ ของการปล่อยวาง ถ้าลองไปปฏิบัติดู ในเบื้องต้นอาจจะยากหน่อย เพราะเป็นสิ่งที่ฝืนกับนิสัยใจคอ แต่ไม่สุดวิสัย ถ้ามีความเข้มแข็ง มีความอดทนต่อสู้ ในไม่ช้าก็เร็ว ก็จะสามารถปฏิบัติตามอย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอน ได้ทรงปฏิบัติมา เมื่อทำได้แล้วก็จะเห็นผล คือความสุข ความเบาใจที่จะปรากฏขึ้นมาในใจ ก็จะรู้ทันทีเลยว่า เรานี้โง่เขลาเบาปัญญามาตั้งนาน มัวแต่หลงแบกกองทุกข์ แบบไม่รู้จักจบจักสิ้น แต่เดี๋ยวนี้รู้แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ต้องการอะไรแล้ว ในเรื่องสมบัติภายนอก บุคคลภายนอก อยู่ได้โดยลำพัง แม้ไม่มีร่างกายนี้ ก็อยู่ได้ เพราะเห็นใจแล้ว รู้แล้วว่าใจกับร่างกายเป็นคนละส่วนกัน ต่างฝ่ายต่างจริง ใจไม่ต้องพึ่งอะไรเลย จึงสละได้หมดแม้แต่ชีวิต

23.11.50

แปลก แตกต่าง ก็ถูกต้องได้

คนเรานี่ก็แปลก ชอบคิดว่าอะไรที่แปลก แตกต่าง คือ "สิ่งที่ผิด"
อะไรที่มันแปลก-แตกต่าง มันไม่จำเป็นจะต้องผิดเสมอไปหรอก
จง "อย่า" ตัดสินว่า "มันผิด" หรือ "ไม่ถูกต้อง"
เพราะเหตุว่ามันไม่เป็นอย่างที่คุณคิด หรือ คิดไม่เหมือนคุณ

22.8.50

ลิงในห้องแคบ


เรื่องมีอยู่ว่า ... เขาบอกว่าให้ลองเอาลิง 5ตัวไว้ในห้องสี่เหลี่ยมที่มีกล้วยหอมใบเขื่องแขวนไว้ที่เพดานกลางห้องวิธีเดียวที่จะไปถึงกล้วยหอมอันยั่วยวนใจนั้นได้ก็โดยการปีนบันไดที่ตั้งไว้กลางห้องแต่เมื่อใดก็ตามที่ลิงตัวใดตัวหนึ่งเหยียบบันไดขั้นแรกก็จะมีท่อฉีดน้ำเย็นจัดไปทั่วห้องจนลิงทุกตัวหนาวสั่นแทบขาดใจสุดท้าย...ไม่มีลิงตัวใดอยากปีนบันไดอีกหรือแม้แต่คิดก็ยังไม่กล้า....

จากนั้น ... เอาลิงตัวที่ 6เข้าไปในห้องแทนลิงตัวหนึ่งที่หนาวสั่นจนทนไม่ไหววินาทีแรกที่มันเห็นกล้วยหอมมันก็รีบถลาเข้าหาบันไดแต่ก็ถูกสกัดกั้นอย่างโหดร้ายบ้าเลือดจากลิงรุ่นพี่ทั้งสี่ตัวจนลิงน้องใหม่ไม่กล้าเข้าไปใกล้บันไดอีกด้วยความงุนงงและประหลาดใจยิ่งนัก....

เมื่อเอาลิงตัวที่ 7 เข้าไปแทนลิงเก่าอีกตัวหนึ่งและเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นอีกเมื่อลิงน้องใหม่ล่าสุดถลาเข้าหาบันไดเพื่อจะไปเดากล้วยหอม ก็จะถูกรุมกัดอย่างเอาเป็นเอาตายจากรุ่นพี่ทุกตัวรวมทั้งลิงตัวที่ 6 ที่เพิ่งเข้าไปอยู่ใหม่ด้วยแถมยังเกรี้ยวกราดมากกว่าตัวอื่นทั้งที่ตัวมันเองก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไมการปีนบันไดเป็นสิ่งต้องห้ามและทำไมลิงชุดเก่าจึงต้องกลัวบันไดกันขนาดนั้นแต่มันก็ยินดีผสมโรงสหบาทาไปกับเขาด้วยและรุนแรงกว่าเสียด้วยเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นต่อไปอีกนานแสนนานจนแม้ลิงเก่าชุดแรกจะครบเกษียณอายุและถูกทดแทนด้วยลิงชุดใหม่ทั้งหมดแล้วแต่ลิงรุ่นหลังก็พร้อมใจกันปกป้องบันไดกายสิทธิ์กันอย่างเหนียวแน่น

นี่คือที่มาของนโยบายหรือวัฒนธรรมองค์กร (CORPORATECULTURE) ที่พนักงานยึดถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดและพร้อมที่จะปกป้องอย่างรุนแรงแม้จะไม่สามารถอธิบายเหตุผลหรือที่มาที่ไปของการประพฤติ(NORMS) และ การปฏิบัติ(STANDARD) ก็ตาม

วัฒนธรรมกิจการเกิดจากคนและหน่วยงานภายในกิจการนั้นคนเราจะมีข้อสมมุติ (ASSUMPTION) ทัศนคติ (ATTITUDE) ค่านิยม (VALUE) และความคาดหวัง (EXPECTATION) ที่แตกต่างกัน เมื่อคนเข้าไปทำงานในหน่วยงานใดก็จะได้รับการปลูกฝังให้ยึดถือแนวประพฤติปฏิบัติของหน่วยงานเช่น นิสัย (HABIT) หลักปฏิบัติ (PRACTICES) และวิธีการทำงาน (STYLE) ที่เป็นลักษณะเฉพาะของหน่วยงาน

ในที่สุดแล้วก็จะผสมผสานกันเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่มีฐานรากมาจากการปฏิบัติในอดีต (PAST PRACTICES) ประเพณี (TRADITION) กฎระเบียบทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็น (RULE) และจารีต (RITUAL) ซึ่งฐานรากบางตัวนั้นก็ยาวนานจนคนรุ่นหลังไม่สามารถอธิบายที่มาได้ฝากให้คิดนะครับว่าวัฒนธรรมองค์กรที่สั่งสมกันมายาวนานนั้นบางสิ่งบางอย่างยังใช้ได้หรือไม่อันไหนบ้างที่กีดขวางความมีประสิทธิภาพของกิจการและสมควรได้รับการแก้ไขปรับปรุงอย่างรีบด่วนในยุคคิดใหม่ทำใหม่มิฉะนั้นเราก็ไม่ต่างอะไรกับลิงในห้องแคบ

13.9.48

ปรัชญาชีวิต

1. There is no life without DEATH
ไม่มีใครหรอกที่เกิดมาแล้วไม่ตาย

2. ความสุขกับความเหนื่อยยากมักเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้

3. คนเราทุกวันนี้มีชีวิตอยู่กับการแข่งขัน ทั้งกับเวลา คนรอบข้าง หรือแม้กระทั่งตัวเองจนบางครั้งลืมที่จะหยุดให้ชีวิต และความคิดได้พักผ่อนหากเราหยุดการแข่งขันไว้ชั่วขณะ บางทีเราอาจจะพบได้ว่าแท้ที่จริง สิ่งที่เราต้องการจะได้นั้น มิได้มาด้วยการแข่งขันเสมอไป

4. เหนือกว่าการได้มา คือ การให้

5. ความสุขที่แท้ของชีวิต คือ การที่ได้ก้าวเดินไป ได้ค้นหา ได้ทำ ได้พบ ได้ความสำเร็จ และได้ภูมิใจ

6. เมื่อเดินมาถึงทางแพ่ง หยุดคิดสักนิดนึง ก่อนเลือกที่จะก้าวไปและ อย่าตัดสินใจ เพียงเพราะ ก้าวตามคนอื่น

7. ชีวิตเป็นของเธอแต่ก็ควรเรียนรู้ชีวิต ของคนอื่นด้วยเอื้อเฟื้อ แบ่งปัน แลกเปลี่ยน แล้วเธอจะรู้ว่า แท้ที่จริงแล้วประสบการณ์ มีค่ามากมายมหาศาลเจ้าของประสบการณ์ ต้องใช้เวลาพ้นผ่านนับเดือน นับปีแต่เราสามารถเรียนรู้ได้ภายในเสี้ยวนาทีในโลกนี้ไม่มีอะไรล้ำค่าเท่า ประสบการณ์

8. ภูเขาเมื่อดูไกลๆ มันก็ดูสวยงามดีแต่พอเข้าไปใกล้ๆ เราก็จะเห็นความขรุขระ ปีนยากลำบากแต่ถ้าเราปีนขึ้นถึงยอดเขา ก็จะเห็นทิวทัศน์สวยงาม ลมเย็นสบายเมื่อเรายังเป็นเด็ก มันคงยากที่จะปีนป่ายแต่เมื่อโตขึ้นมา มีโอกาสที่จะปีนป่ายมันขึ้นไปถ้าเราไม่ปีนเพราะกลัวความลำบาก เราก็จะต้องอยู่แต่เชิงเขาเห็นแต่ภูเขาขรุขระไปจนเราแก่ตาย...

9. ดอกไม้สวยแต่หาง่ายริมถนน มันก็ดูเหมือนไร้ค่าดอกไม้ที่ไม่สวย แต่หายากลำบาก กลับดูสูงค่า มีราคาอย่ากลัวความยากลำบาก เพราะคุณค่าของมันอยู่ที่ตรงนี้ความสำเร็จที่ได้มาง่ายๆ ก็เหมือนดอกไม้สวย ราคาถูก

10. รวงข้าวที่ลีบเบา จะชูช่อสูง แกว่างไปมา เพราะภายในกลวง ไม่มีอะไรรวงข้าวที่หนัก สุกปลั่ง จะค้อมตัวต่ำ นิ่งงดงาม เพราะภายในหนักด้วยคุณค่าและเนื้อหา

11. อย่าเลือกฝันของคนอื่น เพระเห็นว่าเขาประสบความสำเร็จหยุดคิดและทบทวนดูว่า เธอชอบอะไร เธอฝันอะไร เธออยากเป็นอะไร แล้วมุ่งมั่นตั้งใจพาชีวิตเดินไปตามที่ฝัน อย่าเลือกฝันของคนอื่น ตราบใดที่เธอยังต้องหายใจด้วยตัวเอง

12. อย่าเสี่ยงกับการเอาชีวิตและอนาคต ไปแขวนไว้กับคนอื่น หรือแม้แต่ความหวังดีของคนอื่นเพราะไม่มีใครจะรู้จักเรา รักเรา เข้าใจเรา หวังดีต่อเรา เท่ากับตัวเราเองถ้าจะมีใครสักคนที่รู้จักเราดี คนคนนั้น ก็คือ ตัวเราเอง

13. “คนที่ประสบความสำเร็จ และคนที่ประสบความล้มเหลว มักจะทำทุกอย่างเหมือนกันแต่ทำด้วยทัศนและวิธีคิดที่แตกต่างกัน”

14. อ่านหนังสือ เราได้อารมณ์ ความรู้สึก และมีเรื่องราวต่างๆมากมายให้ศึกษาอ่านคน เราก็ได้สิ่งต่างๆเหล่านั้นเช่นกัน แต่มันมีค่ามหาศาลหากเราอ่านมันออกเพราะมันยากเสียกว่า การอ่านหนังสือเป็นร้อยๆ เล่ม


15. Do a favor and Do not ask for or expect, one in Return
ทำประโยชน์โดยไม่หวังผลตอบแทน


16. โลกไม่ได้มีเพียงด้านเดียว ให้เราเรียนรู้ เราก็ไม่สามารถหมุนโลกให้เห็นทุกๆด้านได้แต่เรารู้โลกได้เกือบทุกด้าน จากผู้คนมากมาย ทั้งดีและร้ายที่อยู่รอบตัวเรา

13.7.48

Be yourself

Be strong enough to face the word each day.
จง... เข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริง

Be weak enough to know you cannot do everything alone.
จง... อ่อนแอพอที่จะรับรู้ว่าลำพังเรานั้นทำอะไรไม่ได้ทุกอย่าง

Be generous to those who need your help.
จง... ฟุ่มเฟือยน้ำใจ เมื่อมีใครต้องการความช่วยเหลือ

Be frugal with what you need yourself.
จง... ประหยัดสิ่งที่จำเป็นไว้

Be wise enough to know that you do not know everything.
จง... จงฉลาดพอที่จะรู้ว่าเราไม่ได้รู้ทุกสิ่ง

Be foolish enough to believe in miracles.
จง... โง่พอที่จะเชื่อในปาฎิหาริย์

Be willing to share your joys.
จง... เต็มใจจะแบ่งปันความสุขของตัวเอง

Be willing to share the sorrows of others.
จง... เต็มใจที่จะแบ่งรับความทุกข์ของผู้อื่น

Be a leader when you see a path of others have missed.
จง... เป็นผู้นำหากทางที่ผู้อื่นทิ้งไว้ให้นั้นเลือนลาง

Be a follower when you are shrouded in the midst of uncertainly.
จง... เป็นผู้ตามหากตกอยู่ในวงล้อมแห่งความไม่แน่นอน

Be the first to congratulate an opponent who succeeds.
จง... เป็นคนแรกที่แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของคู่แข่ง

Be the last to criticize a colleague who fails.
จง... เป็นคนสุดท้ายที่จะวิจารณ์ความผิดพลาดของเพื่อน

Be sure where you next step will fall, so that you will not stumble.
จง... มองเพียงแค่ก้าวถัดไปเพราะมันจะทำให้เราไม่ล้ม

Be sure of your final destination, in case you are going to the wring way.
จง... มองไปยังจุดหมายปลายทางให้แน่ใจ ว่าไม่ได้กำลังเดินผิดทาง

Be loving to those who love you.
จง... รักคนที่รักคุณ

Be loving to those who do not love you, and they may change.
จง... รักคนที่ไม่รักคุณแล้วสักวันหนึ่ง ...เค้าอาจจะเปลี่ยนใจ

Above all, be yourself.
แต่เหนือสิ่งอื่นใด จงเป็นตัวของตัวเอง