12.2.53

โครงการ "เมืองไทยน่าอยู่" ตอนที่ ๑

ทำงานไปทั่วภูมิภาค แล้วก็อพยพมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองอย่าง ญี่ปุ่น ที่เค้าว่ากันว่าพัฒนาเจริญก้าวหน้าที่สุด ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ผมต้องยอมรับเลยว่าทั้งๆเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า และในขณะเดียวกันสิ่งแวดล้อมก็ไม่ได้ถูกปล่อยปะละเลย และวัฒนธรรมเก่าแก่ทั้งหลายที่ก็ยังคงอนุรักษ์ มองดูทุกอย่างจัดการไว้เป็นอย่างดี ทั้งนี้อาจเป็นเพราะประเทศญี่ปุ่นเกิดวิกฤตในหลายๆด้านตั้งแต่หลังแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 และนอกจากนั้นสภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะการเกิดภัยธรรมชาติต่างๆมากมาย และดูจะเป็นเรื่องธรรมดาก็แผ่นดินไหวที่ตึกอาคารต่างๆได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ ทุกอย่างดูราวกับว่าเค้าได้เตรียมการเพื่อรองรับสถานการ์ณทุกอย่างแล้ว... คนญี่ปุ่นเป็นคนที่มองการณ์ล่วงหน้าเสมอ เตรียมพร้อม มองปัญหาก่อนที่ปัญหาจะเกิด



พอย้อนมามองเมืองไทย ผมบอกได้เลยการที่ได้เกิดในเมืองไทยเป็นโชคดีมากที่สุดแล้ว เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ทั้งพื้นดินและพื้นน้ำ แต่ทำไมประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่บางครั้งถูกมองข้ามหรือดูแคลน(ในความรู้สึกของผม) สาเหตุหลักก็มาจากคนไทยเองนี่แหละ คนไทยเองยังไม่ภูมิใจในความเป็นไทยแล้วจะให้ใครมาภูมิใจ คนไทยนิยมของนอก เห่อของฝรั่งต่างชาติ ร้องเท้า เสื้อผ้า กระเป๋าแบรนเนมจากนอก ความสุขของคนไทยยึดติดกับวัตถุมากขึ้นทุกวันๆ นอกจากนั้นผมยังมองว่าคนไทยติดนิสัย ทำอะไรได้ตามใจคือไทยแท้ ทำให้เราอยากทำอะไรก็ได้ตามใจกรู โดยที่ไม่สนใจคนรอบข้างว่าจะเป็นยังไง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมือง) นอกจากจะทำอะไรตามใจ บางครั้งไม่ยอมรับฟังความเห็นคนอื่นหรือว่าฟังๆไปอย่างนั้นเอง หรือบางทีอาจจะพูดได้ว่าคนไทยขาดทักษะในการฟัง การสื่อสาร (อันนี้ก็รวมถึงตัวผมเองด้วย แต่ก่อนผมก็ว่าผมเป็นคนพูดน้อย ฟังมากแล้วนะ พอมาเรียนรู้ชีวิตคนญี่ปุ่น มันทำให้ผมรู้ว่าปัญหาของผม ปัญหาของคนไทยมากยิ่งขึ้น)

หากคนไทยมีความสุขกับสิ่งที่เป็น และรู้คุณค่าและภูมิใจในสิ่งที่เป็น่และช่วยกันดูแลและบำรุงรักษาวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามที่มีมาแต่โบราณ ผมว่าเมืองไทยจะเป็นเมืองที่น่าอยู่มากยิ่งขึ้นและไม่ถูกดูแคลน สักวันผมจะกลับไปพร้อมกับโครงการ "เมืองไทยน่าอยู่"

๑. ผมอยากบอกให้ทุกคนรู้ว่า ชาวไร่ ชาวนา ชาวประมง ทุกอาชีพล้วนแล้วแต่มีความสำคัญและสามารถมีความสุขในการใช้ชีวิตได้ทั้งนั้น ความสุข ไม่ใช่แค่การมีเงินมีทองมากมายก่ายกอง ความสุขในการใช้ชีวิตคือการได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขทางกาย ทางใจ มากกว่าการที่ต้องขวนขวายจนเกินตัว ชีวิตที่เรียบง่าย พออยู่พอกินในครอบครัว มีเวลาให้กัน ใช้เวลาร่วมกัน นี่ก็ถือว่าเป็นการใช้ชีวิตที่สุข สงบแล้ว

๒. เมื่อก่อนคนไทยอยากให้ลูกให้หลานเรียนสูงๆ เพื่อมาเป็นเจ้าคนนายคนจะได้ทำงานสบาย แต่ปัจจุบันบอกได้เลยว่าการเป็นเจ้าคนนายคนมันไม่ใช่เรื่องสบายเลย เมื่อโตขึ้นตำแหน่งสูงขึ้น ความรับผิดชอบมากขึ้น คิดมากขึ้น นอกจากนั้นเรียนสูงขึ้นก็ต้องย้ายที่อยู่ไปอีก ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก บางครั้งถามว่าทำไมคนสมัยนี้ถึงทิ้งคนเฒ่าคนแก่ไว้บ้านนอก หรือเฝ้าบ้านล่ะ ก็เพราะความคิดอยากให้ลูกให้หลานได้เรียนสูงๆนี่เอง ครั้งพอเรียนจบก็ต้องทำงานในเมือง ก็ไม่รู้ว่าจะสุขหรือทุกข์ดี และบางทีระบบการศึกษาปัจจุบันก็ไม่ได้ทำให้คนเรามีความรู้มากขึ้น หรือว่าเป็นคนดีขึ้นด้วย

๓. ชีวิตคือ การเรียนรู้ ดังนั้นไม่เฉพาะการเรียนตามระบบเท่านั้นหรอกที่จะทำให้คนเรามีความรู้ ฉลาด รักษาตัวรอด ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข บางทีตาสีตาสาธรรมดามีความสุขกับการใช้ชีวิตมากกว่านักธุรกิจร้อยล้านพันล้านเสียอีก

๔. ทรัพยากรธรรมชาติ อากาศ แม่น้ำ ท้องไร่ ท้องนา วันข้างหน้าจะเป็นของใคร ก็เป็นของเด็กเยาวชนคนรุ่นใหม่ ดังนั้น ณ ปัจจุบันสิ่งที่มีและสิ่งที่กำลังจะเป็นไปนั้น มันเป็นสิ่งที่เค้าทั้งหลายจะต้องช่วยกันดูแลและจัดการในแนวที่เค้าอยากให้มันเป็นไป แม่น้ำที่เคยใสสะอาดแต่ก่อนเคยโดดเล่นได้ เดี๋ยวนี้เค้าไม่มีโอกาสอย่างนั้นแล้ว ถนนที่แต่ก่อนเด็กๆปั่นจักรยานไปโรงเรียน เดินไปโรงเรียนกัน เดี๋ยวนี้เค้าทำเช่นนั้นไม่ได้อีกแล้ว เพราะถนนขวักไขว่ไปด้วยรถคันใหญ่ไม่เคยเห็นหัวคนเดินริมถนนเลยแม้แต่น้อย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของเขาทั้งสิ้น เค้าจึงควรวางแผนและช่วยกันจัดการเพื่อให้ได้สิ่งที่เค้าต้องการ

๕. สิทธิที่เค้าพึงมี แม้จะเป็นเด็กก็ตาม แต่นั่นคือ มรดกที่เค้าจะได้รับมัองในอนาคตข้างหน้า เค้าต้องการมรดกแบบไหนกัน อากาศเป็นพิษ น้ำเน่าเสีย ถนนที่คร่าคร่ำไปด้วยรถยนต์ ต้นไม้มีเฉพาะในสวนสาธารณะ อันตรายในการใช้ถนนเช่นนั้นเหรอ

ไม่มีความคิดเห็น: